วิธีทำน้ำส้มสายชูหมักจากน้ำมะพร้าว รสอร่อย กลมกล่อม


วิธีทำน้ำส้มสายชูหมักจากน้ำมะพร้าว รสอร่อย กลมกล่อม

การทำน้ำส้มสายชูหมักจากผลไม้ชนิดอื่นๆ จะมีสูตรการทำต่างกันออกไป เช่นถ้าทำจากน้ำมะพร้าว(ทั้งแก่และอ่อน) ต้องผสมน้ำตาลด้วย คือผลไม้ที่ไม่หวาน นั้นควรเติมน้ำตาลเพื่อให้มีความหวานประมาณ 20 % เพราะหลักในการหมักน้ำส้มสายชูจะมีสองขั้นตอน คือ การหมักช่วงแรกจะเปลี่ยนน้ำตาลในผลไม้ให้เป็น แอลกอฮอล์ อีกช่วงหนึ่งจะเปลี่ยนแอลกอฮอล์ให้เป็นน้ำส้ม

วัสดุ/อุปกรณ์

เตาถ่าน (หรือเตาแก๊สตามความสะดวก) 

หม้อ โถแก้ว (หรือไหเคลือบสำหรับหมัก) 

ขวดแก้ว (บรรจุน้ำส้ม) ขนาด 750 มิลลิลิตร ส่วนผสม

น้ำมะพร้าวแก่ 5 ลิตร
น้ำตาลทราย ½ กิโลกรัม
ยีสต์แห้งหรือยีสต์ทำขนมปัง ½ ช้อนชา (หรือใช้ลูกแป้งข้าวหมากแทน)
เชื้อน้ำส้ม 10% ของปริมาณน้ำส้มที่หมัก

วิธีทำ

นำน้ำมะพร้าวมาเติมน้ำตาลทราย คนให้น้ำตาลละลาย ต้มให้เดือด 5-10 นาที พยายามช้อนน้ำมันที่ลอยหน้าออกให้หมด

นำมากรองผ่านผ้ากรอง ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วเทลงในภาชนะที่ใช้หมัก เช่น โถแก้ว ไหเคลือบ ที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว

แบ่งน้ำมะพร้าวจากข้อ 2 มาประมาณครึ่งถ้วยแก้ว ใส่ยีสต์แห้งลงไปคนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ สักครู่ให้ยีสต์ทำงาน ซึ่งจะสังเกตเห็นได้จากการเกิดฟอง

เทน้ำมะพร้าวที่ใส่ยีสต์แล้ว (จากข้อ 3) ลงในภาชนะที่ใส่น้ำมะพร้าวอีกส่วนหนึ่งไว้ (ข้อ 2) ปิดปากภาชนะด้วยผ้าขาวบาง แล้วปิดทับด้วยฝาไม้เพื่อกันฝุ่นและเชื้อจาก ภายนอก

ปล่อยให้ยีสต์ทำปฏิกิริยากับน้ำตาลในน้ำมะพร้าวจนไม่เกิดฟองอีก และยีสต์ตกตะกอน ใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน

รินส่วนที่เป็นน้ำใสใส่ลงในภาชนะอีกใบหนึ่งซึ่งล้างสะอาดแล้ว เพื่อให้น้ำส้มที่ได้ใสเร็วและไม่มีกลิ่นยีสต์

เติมเชื้อน้ำส้มลงไปประมาณ 10% โดยใช้น้ำส้มสายชูหมักที่ยังไม่ได้ต้มฆ่าเชื้อ (ถ้าไม่มีเชื้อน้ำส้ม อาจอาศัยเชื้อน้ำส้มในอากาศ โดยปิดภาชนะด้วยผ้าขาวบางทิ้งไว้ 2 -3 วัน จึงปิดด้วยฝาไม้ ตั้งทิ้งไว้จะได้เชื้อน้ำส้มสายชูหมัก แต่อาจต้องใช้เวลานานขึ้น และผลที่ได้ไม่ค่อยแน่นอน)

ทิ้งไว้ให้เกิดกรดน้ำส้ม ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 30-45 วัน จะได้น้ำส้มสายชูหมัก ซึ่งมีความเข้มข้นของกรดประมาณ 4%

รินส่วนใสออก นำมาต้มให้เดือด บรรจุในขวดให้เต็ม ตั้งทิ้งไว้หลาย ๆ วันจะตกตะกอน ได้น้ำส้มสายชูใส (ถ้าต้องการให้ตกตะกอนเร็ว ต้องกรองผ่านเครื่องกรอง หรือ ต้มให้เดือด แล้วเติมสารเบนโทไนท์ในอัตราส่วน 1:200 คนให้ทั่ว ตั้งทิ้งไว้ 1 คืน จะตกตะกอน ทำให้กรองง่ายขึ้น)

ส่วนที่ใสมากรองผ่านผ้าดิบอีกที จะได้น้ำส้มสายชูหมักจากน้ำมะพร้าวบรรจุในขวดแก้ว ปิดฝาจุก นำไปจำหน่ายได้

สถานที่ให้คำปรึกษา

กองวิทยาศาสตร์ชีวภาพ กรมวิทยาศาสตร์บริการ โทร. 0 2245 8993

ข้อแนะนำ

ภาชนะที่นำมาใช้หมักและขวดแก้วที่บรรจุน้ำส้ม ต้องเน้นความสะอาดเป็นสำคัญ เพื่อ ป้องกันเชื้อโรค เมื่อนำมาบรรจุขวดแล้ว ห้ามใช้ฝาจุกปิดขวดที่เป็นโลหะเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดสนิมได้ ควรใช้ฝาจุกพลาสติก ก่อนที่จะนำออกจำหน่าย จะต้องส่งตัวอย่างน้ำส้มสายชูไปให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจคุณภาพ หากตรวจผ่านก็ให้ยื่นเรื่องต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จากนั้นเจ้าหน้าที่จะเข้ามาตรวจสภาพสถานที่ผลิต

เมื่อพบว่าขั้นตอนการผลิตถูกหลักอนามัย ก็จะมอบหนังสืออนุญาตการผลิต พร้อมกับเลขที่ฉลากอาหารให้สามารถนำออกจำหน่ายได้อย่างถูกกฎหมาย เพราะเป็นสินค้าที่มีคุณภาพผ่านการรับรองจาก อย. แล้ว 





ครอบจักรวาล! ประโยชน์ของกากกาแฟ ไปขอร้านกาแฟได้เลย ส่วนใหญ่แจกฟรี



ครอบจักรวาล! ประโยชน์ของกากกาแฟ ไปขอร้านกาแฟได้เลย ส่วนใหญ่แจกฟรี

กากกาแฟเหลือ ๆ ที่ดูไม่มีความหมาย สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันของเราได้อย่างหลากหลายอย่าง ถ้าใครคิดว่ามันไร้ค่าและกำลังจะโยนมันทิ้งไป ขอให้ลองเปลี่ยนใจและเอากากกาแฟมาใช้ประโยชน์เหล่านี้ดูเถอะค่ะ เพราะว่ามันมีประโยชน์มากมายเกินกว่าที่หลายคนจะคาดถึงเลยทีเดียว ส่วนจะมีอะไรบ้างวันนี้เรามีข้อมูลน่าสนใจมาฝากกันค่ะ

1. ไล่หอยทาก ไส้เดือน และแมลงบางชนิด
ใครไม่อยากให้มีสัตว์ผิวเมือกอย่าง หอยทาก ไส้เดือน และแมลงบางชนิด อยู่ในบ้าน กากกาแฟช่วยคุณได้แน่นอน เพราะพวกสัตว์เหล่านี้มักไม่ชอบความเป็นกรดที่อยู่ในกาแฟ แค่เอากากกาแฟไปโรยตรงที่คิดว่าเป็นทางเดินของมัน มันจะหายไปเลย

2. เป็นปุ๋ยที่ดี เอาไปปลูกเห็ดก็ได้
ใครอยากมีเห็ดงาม ๆ ปลูกไว้กินเอง แค่ไปหาหัวเชื้อเห็ดชนิดที่เราต้องการมาฝังในกากกาแฟ ก็จะทำให้เห็ดที่คุณปลูกออกดอกใบใหญ่และสวยงามตามที่อยากได้ได้แล้ว

และถ้าคุณเป็นคนที่ชอบปุ๋ยหมักแบบเกษตรอินทรีย์ อย่าลืมใส่กากกาแฟลงไปหมักด้วยทุกครั้ง เพราะมันจะช่วยให้ต้นไม้ยิ่งงามเข้าไปใหญ่ นอกจากนี้ กลิ่นและลักษณะของกากกาแฟยังช่วยเรียกหนอนและไส้เดือนให้มาช่วยพรวนดินได้ด้วย

3. ไล่แมวให้ห่างสวนดอกไม้
แม้คนส่วนใหญ่จะชอบกลิ่นกรุ่นกาแฟ แต่สัตว์เลี้ยงอย่างน้องแมวที่น่ารักมักจะไม่ชอบกลิ่นกาแฟหอม ๆสักเท่าไหร่ ดังนั้น ถ้าไม่อยากให้น้องแมวเข้าไปเล่น กัดกิน ต้นไม้สุดหวงของคุณจนเสียหาย ก็ให้เอากากกาแฟผสมกับเปลือกส้มแล้วโรยไว้รอบ ๆ แปลงต้นไม้ หรือที่ที่ไม่อยากให้มันเดินเข้าไป เท่านี้เจ้าเมี๊ยวก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้แล้วละค่ะ

4. ยืดอายุดอกไม้ในแจกัน
เทน้ำในแจกันดอกไม้ออกให้หมด แล้วใส่ดินที่ผสมกากกาแฟลงไปแทน แค่นี้ดอกไม้สดในแจกันก็จะสดชื่นสดใส และช่วยยืดอายุไขดอกไม้ไปได้อีกหลายวันแล้ว แถมบรรยากาศในบ้านก็จะสดชื่นไร้กลิ่นอับไปด้วย ประโยชน์สองต่อเลยในครั้งเดียว

5. ไล่มดให้ไกลห่างทางตู้กับข้าว
ตู้กับข้าวบ้านใครที่มักจะเจอมดบุกรุกอยู่เสมอ และไม่อยากเอาน้ำมารองขาตู้ให้ยุงมาวางไข่ แค่เปลี่ยนวิธีโดยการนำกากกาแฟมาทาที่ขาตู้แทน เท่านี้มดเจ้าปัญหาก็จะไม่กล้าเข้ามายุ่งยากแล้ว

6. ยัดไส้ในหมอนปักเข็มกันสนิม
คนไหนที่รักงานฝีมือ ชอบเย็บปักถักร้อย แต่ไม่อยากควักเงินจ่ายค่าหมอนปักเข็ม เพราะเราหาผ้ามาเย็บเป็นปลอกหมอนแล้วยัดเอากากกาแฟเข้าไปข้างใน เท่านี้ก็จะช่วยป้องกันสนิมไม่ให้มาเกาะเข็มได้แล้ว ช่วยยืดอายุเข็มให้ใช้ไปได้อีกนาน

7. กับดักแมลงสาบ
เกลียดนักเจ้าแมลงสาบ ใครไม่อยากเห็นหน้าแมลงสาบบ่อยๆ มาเรียนรู้วิธีการกำจัดที่ถูกวิธีกันดีกว่า ถ้าต้องการจำกัดแมลงสาบแบบยกรัง ให้นำเอากระป๋องเก่า ๆ มาใส่กากกาแฟ แล้วติดเทปกาวสองหน้ารอบ ๆ ขอบด้านในกระป๋อง แมลงสาบจะมาตามกลิ่นและติดเข้ากับกาวแหง็กอยู่กับที่ หนีไปไหนไม่ได้เลย

8. ขัดกระทะให้เหมือนใหม่
กากกาแฟจะช่วยกัดเซาะคราบฝั่งแน่นที่ติดอยู่บนกระทะให้หลุดร่อนออกไปได้ง่ายๆ วิธีการก็แค่นำกากกาแฟไปยัดใส่ในถุงเศษผ้าเก่า ๆ แล้วนำมาขัดที่คราบก่อนล้างออกดูน้ำสะอาด เท่านี้ก็ช่วยให้กระทะเกลี้ยงเกลาได้แล้ว

9. ป้องกันขี้เถ้าไม่ให้ฟุ้งกระจาย
ขี้เถ้าใต้เตาปิ้งย่างมีน้ำหนักเบา ทำให้มันฟุ้งกระจายได้ง่าย วิธีแก้ปัญหาง่ายๆก็แค่เอากากกาแฟที่ชื้น ๆ ไปโรยไว้ด้านข้าง หรือรอบขี้เถ้า เพียงเท่านี้ขี้เถ้าก็จะไม่ฟุ้งกระจายอีกแล้ว  ง่ายต่อการเก็บกวาดและทำความสะอาดด้วย

10. ลดกลิ่นฉุนกระเทียมที่มือ
ใครชอบทานกระเทียมแต่ไม่ชอบกลิ่นฉุนๆ คงต้องพึ่งกากกาแฟสักหน่อย โดยทุกครั้งที่ทำอาหารเกี่ยวกับกระเทียมหรือหอมแดงที่มีกลิ่นฉุน ๆ แรง ๆ จนมีกลิ่นติดมือที่ล้างออกยาก ให้หยิบกากกาแฟมาถูมือก่อนล้างมือด้วยสบู่ เท่านี้กลิ่นก็จะหายไปแล้ว

11. ทำความสะอาดท่ออ่างล้างจาน
ผสมกากกาแฟแห้ง 1 ถ้วย ดีเกลือ ½ ถ้วย เบกกิ้งโซดา ½ ถ้วย น้ำส้มสายชู 3 ช้อนโต๊ะ ให้เข้ากัน จากนั้นปั้นให้เป็นก้อนแล้วตากให้แห้ง เมื่ออ่างล้างจานสกปรกก็ให้เอาก้อนกากกาแฟขัดที่ปากท่อ รับรองว่าท่อสะอาดปราศจากคราบสกปรกได้แล้ว

12. ทำน้ำยาทะลวงท่อน้ำตัน
ท่อตัน ๆ ก็สลายได้ให้พริบตาด้วยการผสมกากกาแฟในน้ำร้อน และน้ำยาล้างจานนิดหน่อย แล้วเทลงไปในท่ออ่างล้างหรือท่อในห้องน้ำก็ได้เช่นกัน

13. ดับกลิ่นอับในตู้เย็น
แค่วางกากกาแฟไว้ในตู้เย็น กากกาแฟจะช่วยดูดกลิ่นให้สิ้นซาก เหม็นแค่ไหนก็เอาอยู่ ไม่ต้องใช้ถ่านอีกต่อไป

14. ลบรอยขีดข่วนแบบเร่งด่วนทันใจ
รอยขีดข่วนที่เกิดขึ้นบนเฟอร์นิเจอร์ไม้ทุกชนิดสามารถใช้กากกาแฟช่วยแก้ได้ แค่เอาน้ำมันมะกอกมาผสมกับกากกาแฟ และทาทับรอยทิ้งไว้ซักพัก จากนั้นจึงเช็ดออกก็จะพบว่ารอยนั้นค่อย ๆ จางหายไปได้เอง

15. ช่วยน้องหมาจากเห็บหมัด
ถ้าน้องหมาของคุณต้องทนทุกข์ทรมานกับเห็บหมัดจนคันยุบยิบไปทั้งตัว จะดึงออกทีละตัวก็ไม่ใช่เรื่อง ลองใช้วิธีนี้ดูสิค่ะ เพียงผสมกากกาแฟเข้ากันแชมพูแล้วนำไปอาบน้ำน้องหมา เพียงเท่านี้ก็จะช่วยกำจัดเจ้าเห็บหมัดจอนป่วนให้หายไปได้แล้ว

หากใครไม่ได้เป็นคอกาแฟและไม่มีกากกาแฟในบ้าน จะลองขอซื้อจากร้านกาแฟสดทั่ว ๆ ไปเขาก็มีขายหรือบางทีก็ให้ฟรีๆเลย อย่าเช่นร้านสตาร์บัคเขาก็ไม่มีคิดเงินส่วนนี้เพิ่มเติม ลองเอาไปทำกันดูนะคะ จะได้ช่วยเพิ่มประโยชน์ดีๆให้แก่กากกาแฟที่คุณไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว


www.konphenfai.com
www.facebook.com/jeawshop

หามานาน! 7 วิธีกำจัดติ่งเนื้อแบบง่ายๆ และได้ผล ด้วยของในครัว


หามานาน! 7 วิธีกำจัดติ่งเนื้อแบบง่ายๆ และได้ผล ด้วยของในครัว

ติ่งเนื้อ เกิดขึ้นทั้งหญิงและชายพบมากตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไปหรือบางคนเกิดก่อนหน้านั้น พบมากในคนอ้วน เชื่อกัน

ว่าเกิดจากการเสียดสีระหว่างผิวหนังกับเสื้อผ้า บางทฤษฏีบอกว่าเกิดจากฮอร์โมนเนื่องจากพบมากในสตรีระหว่างตั้ง

ครรภ์ ในสหรัฐพบว่าประชากร 46 % มีติ่งเนื้อเกิดขึ้นในร่างกาย 

วิธีทั่วไปในการกำจัดติ่งเนื้อ

หลายๆคนก็ซื้อยามาป้ายให้หลุดออกซึ่งยังไม่มีการยืนยันผลได้ 100% นะคะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแน่คือการระคายเคืองและ

การอักเสบมีเพียงบางรายเท่านั้นที่ได้ผล บางครั้งใช้วิธีการบิดเกลียวหรือเอาไหมขัดฟันผูกไว้เพื่อให้ขาดเลือดและ

หลุดออกมาเองซึ่งเป็นไปได้ยากมาก เราไปดูวิธีกำจัดติ่งเนื้อนี้กันเลย

1. น้ำมัน Tea Tree Oil ปั้นก้อนสำลีเล็กๆชุบน้ำมัน Tea Tree Oil แปะทิ้งไว้บริเวณที่เป็นวันละ 2 ครั้ง ประมาณ 2 

สัปดาห์ ติ่งเนื้อจะหายไปค่ะ 

2. น้ำมันละหุ่ง นำน้ำมันและหุงผสมกับ Baking Soda อัตราส่วน 2:1 แต้มบริเวณที่เป็นทุกวัน ประมาณ 2.4 สัปดาห์

จะหลุดออกเอง หากกลิ่นเหม็นก็เติมน้ำมันผิวส้มก็จะทำให้หอมขึ้นนะคะ 

3. แอปเปิ้ลไซเดอร์ทาลงที่ก้อนติ่งเนื้อโดยตรงวันละ 2 รอบแล้วเอาสำลีปิดทับไว้ ใช้เวลา 2-4 สัปดาห์ วิธีนี้จะรู้สึก

แสบๆกัดๆหน่อยนะ 

4. เปลือกกล้วยหอมตัดเป็นชิ้นเล็กแปะไว้ด้วยพลาสเตอร์ จนกว่าจะหลุดออก 

5. กระเทียมบดกระเทียมสดและแปะที่ติ่งเนื้อและใช้พลาสเตอร์ปิดทับ ทำก่อนนอนแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นตอนเช้าทำ

ติดกันทุกคืน ประมาณ 3 คืนติ่วเนื้อจะหลุดออก คำเตือนว่าวิธีนี้ไม่ควรทำเกิน 3 คืนติดกันนะคะ เพราะจะทำให้ผิวไหม

ได้นั่นเอง 

6. ขิงลอกเปลือกแล้วถูตรงติ่งเนื้อทุกๆวัน ประมาณ 2 สัปดาห์ จะหลุดออกโดยไม่รู้ตัว 

7. น้ำสับปะรด ชุบสำลีปิดติ่งเนื้อวันละ 2 รอบ วิธีนี้จะระคายเคืองอาจไม่เหมาะกับผิวบอบบาง 

วิธีไหนมีของใกล้มือลองทำดู ได้ผลอย่างไรอย่าลืมมาแบ่งปันกันนะครับ 




เผยเคล็ดลับวิธีหุงข้าวกล้องให้หอมนุ่ม และการเก็บไว้ทานวันหลัง


เผยเคล็ดลับวิธีหุงข้าวกล้องให้หอมนุ่ม และการเก็บไว้ทานวันหลัง

สำหรับวิธีการหุงข้าวให้อร่อย..เม็ดข้าวสวย อวบ และหอมกรุ่น..นุ่มน่ากินนั้น ขอบอกเลยว่าสามารถทำได้ง่ายๆเพียงไม่

กี่ขั้นตอนเท่านั้นเอง ถ้าพร้อมกันแล้วมาลุยกันเลย

คืออยากแชร์ประสบการณ์ของตัวเองให้สำหรับท่านที่รักสุขภาพ ที่ต้องการรับประทานข้าวกล้องแบบไม่ต้องผสมข้าว

ขาวเลย  ซึ่งผมได้ลองผิดลองถูกจนได้สูตรที่คิดว่านุ่มน่าทานไว้ลองทำดูครับ

1. ใช้หม้อหุงข้าวไฟฟ้าขนาด 1.8 ลิตร ป้องกันข้าวที่หุงเวลาเดือดจะได้ไม่ล้นออกมา เนื่องจากข้าวกล้องใช้เวลาหุง

นานกว่าปกติ หุงครั้งเดียวควรได้ทานหลายๆ มื้อ ต้องทำให้คุ้มค่าไฟครับ

2. ตวงข้าวประมาณ 4 ถ้วย ประมาณ 500 กรัม (ถ้วยพลาสติกที่แถมมากับหม้อหุงข้าวไฟฟ้า) นำข้าวกล้องมาล้างน้ำ

ปกติ 1-2 ครั้ง  จากนั้นเติมน้ำสะอาดลงไปประมาณ 2 เท่าของข้าว (น้ำ 8 ถ้วย)

3. กด switch on หุงข้าว  จากนั้นรอจนข้าวเดือดประมาณ 8-10 นาที (หรือสังเกตุว่ามีไอน้ำพุ่งออกมาจากฝาหม้อ) 

 ปิด switch หม้อหุงข้าว ดึงปลั๊กออก (แบบจำง่ายๆ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงตั้งแต่เปิด switch จนถึงเวลาดึงปลั๊ก

ออก) ไม่ต้องรอจนหม้อหุงข้าวหุงจนข้าวสุก เพราะมันจะใช้เวลาอีกนานและกินไฟมาก  ห้ามเปิดฝามาดูข้าว  เราจะใช้

ความร้อนที่มีอยู่อบข้าวไว้อย่างน้อยประมาณ 1 ชั่วโมง

4. เมื่อครบ 1 ชั่งโมงหรือจะนานกว่านั้นก็ไม่เป็นปัญหา  ให้เปิดฝาออก เติมน้ำสะอาดลงไปอีกจนน้ำท่วมพอดีข้าว จาก

นั้นเสียบปลั๊กกด switch หุงข้าวต่อไปจน switch ของหม้อหุงข้าว off  หรือเด้งขั้น  ตอนนี้ข้าวสุกแล้ว  ดึงปลั๊กออก

อย่าเปิดฝาหม้อตอนนี้ รอไปอีกอย่างน้อย 15 นาที  จะได้ข้าวนุ่มน่าทาน

เมื่อทานไม่หมด ให้เก็บใส่ภาชนะใส่ตู้เย็นไว้ทานได้อีก  แต่ควรเก็บข้าวที่หุงสุกในขณะที่ยังอุ่นๆ อย่ารอให้เย็น  (วิธี

เก็บใช้ได้กับข้าวอื่นๆ ทุกประเภท)  เมื่อนำออกมาทานอีกก็ตักใส่จานอุ่นในไมโครเวฟตามปกติ ............. จบ  (การที่

ผมไม่ใช่วิธีแช่ข้าวในน้ำก่อน ก็เพราะว่า ข้าวที่หุงวิธีนี้จะได้ข้าวที่หอมกว่าวิธีอื่น และเก็บไว้ได้นาน)




รู้สึกเลยว่าผิวขาวขึ้น แนะนำ 6 ครีมช่วยผิวขาว ที่หลายๆคนใช้แล้วได้ผล


รู้สึกเลยว่าผิวขาวขึ้น แนะนำ 6 ครีมช่วยผิวขาว ที่หลายๆคนใช้แล้วได้ผล


1. Vaseline สูตร Healthy: อุดมไปด้วยวิตามินบี 3 ซึ่งช่วยให้ผิวดูขาวกระจ่างใส ช่วยปกป้องผิวจากจุดด่างดำ 

ป้องกันรังสี UVA และ UVB ซึ่งทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอ ซึมซาบเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ

2. Nivea สูตร Body UV Whitening: อุดมไปด้วยวิตามินซีช่วยทำให้ผิวขาวใสขึ้น เมื่อทาแล้วจะทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื่น 

และสามารถช่วยในการป้องกัน UV จากแสงแดดได้ ซึมเข้าผิวเร็วไม่เหนอะตัว

3. Bhaesa: ผสมสารป้องกันแสงแดด ช่วยให้ผิวขาวขึ้น ใสขึ้น เนียนและนุ่มขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และยังช่วยชะลอ

ริ้วรอยก่อนวัยอีกด้วย

4. Citra Pearly White UV Extra Lotionสำหรับคนผิวคล้ำ: อุดมไปด้วยวิตามินบี3ช่วยทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น ช่วย

ลดความหมองคล้ำของผิว ปกป้องผิวจากรังสี UVA ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดจุดด่างดำ และรังสี UVB ที่ทำให้ผิว

เกิดการหมองคล้ำ หรือรอยไหม้ คืนความชุ่มชื่นให้ผิวดูสุขภาพดี

5. Garnier Body Light Extra: ช่วยลดเลือนจุดด่างดำ ปรับผิวให้ดูกระจ่างใส แถมยังฟื้นฟู และช่วยบำรุงผิว (เพิ่ม

สารสกัดบริสุทธิ์จากมะนาวเป็น 2 เท่า) ทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น

6. Jergen สูตร Original Scent: ช่วยเรื่องความชุ่มชื่นหากใช้เป็นประจำจะช่วยปกป้องผิวจากความแห้งกร้านได้ 

ทำให้ผิวดูมีสุขภาพดี ผิวนุ่มสัมผัส และช่วยในการฟื้นฟูให้สีผิวเรียบเนียนมากกว่าเน้นให้ผิวกระจ่างใส

หลังจากที่ได้อ่านกันแล้ว ใครที่อยากมีผิวขาวกระจ่างใส นุ่มน่าสัมผัส ก็ลองไปเลือกซื้อครีมที่ถูกใจกันได้เลย เราคัด

มาให้แล้ว 6 ครีมที่เขาบอกกันว่าใช้ดี ของอย่างนี้ไม่ลองก็ไม่รู้ ต้องลองด้วยตัวคุณเอง มีครีมบำรุงผิวช่วยให้เราขาว

แล้วแต่เราก็ควรมีวินัยในการทาครีมด้วย ซึ่งควรทาเป็นประจำสม่ำเสมอ




7 วิธีกำจัดติ่งเนื้อให้หายไป ด้วยของหาได้ง่ายๆในครัว


เจ๋งมากๆ 7 วิธีกำจัดติ่งเนื้อให้หายไป ด้วยของหาได้ง่ายๆในครัว

ติ่งเนื้อ เกิดขึ้นทั้งหญิงและชายพบมากตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไปหรือบางคนเกิดก่อนหน้านั้น พบมากในคนอ้วน เชื่อกันว่า

เกิดจากการเสียดสีระหว่างผิวหนังกับเสื้อผ้า

บางทฤษฏีบอกว่าเกิดจากฮอร์โมนเนื่องจากพบมากในสตรีระหว่างตั้งครรภ์ ในสหรัฐพบว่าประชากร 46 % มีติ่งเนื้อ

เกิดขึ้นในร่างกาย

แนะนำ 7 วิธีทั่วไปในการกำจัดติ่งเนื้อ

หลายๆคนก็ซื้อยามาป้ายให้หลุดออกซึ่งยังไม่มีการยืนยันผลได้ 100% นะคะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแน่คือการระคายเคืองและ

การอักเสบมีเพียงบางรายเท่านั้นที่ได้ผล บางครั้งใช้วิธีการบิดเกลียวหรือเอาไหมขัดฟันผูกไว้เพื่อให้ขาดเลือดและ

หลุดออกมาเองซึ่งเป็นไปได้ยากมาก เราไปดูวิธีกำจัดติ่งเนื้อนี้กันเลย

1. น้ำมัน Tea Tree Oil ปั้นก้อนสำลีเล็กๆชุบน้ำมัน Tea Tree Oil แปะทิ้งไว้บริเวณที่เป็นวันละ 2 ครั้ง ประมาณ 2 

สัปดาห์ ติ่งเนื้อจะหายไปค่ะ

2. น้ำมันละหุ่ง นำน้ำมันและหุงผสมกับ Baking Soda อัตราส่วน 2:1 แต้มบริเวณที่เป็นทุกวัน ประมาณ 2.4 สัปดาห์

จะหลุดออกเอง หากกลิ่นเหม็นก็เติมน้ำมันผิวส้มก็จะทำให้หอมขึ้นนะคะ

3. แอปเปิ้ลไซเดอร์ทาลงที่ก้อนติ่งเนื้อโดยตรงวันละ 2 รอบแล้วเอาสำลีปิดทับไว้ ใช้เวลา 2-4 สัปดาห์ วิธีนี้จะรู้สึก

แสบๆกัดๆหน่อยนะ

4. เปลือกกล้วยหอมตัดเป็นชิ้นเล็กแปะไว้ด้วยพลาสเตอร์ จนกว่าจะหลุดออก

5. กระเทียมบดกระเทียมสดและแปะที่ติ่งเนื้อและใช้พลาสเตอร์ปิดทับ ทำก่อนนอนแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นตอนเช้าทำ

ติดกันทุกคืน ประมาณ 3 คืนติ่วเนื้อจะหลุดออก คำเตือนว่าวิธีนี้ไม่ควรทำเกิน 3 คืนติดกันนะคะ เพราะจะทำให้ผิวไหม

ได้นั่นเอง

6. ขิงลอกเปลือกแล้วถูตรงติ่งเนื้อทุกๆวัน ประมาณ 2 สัปดาห์ จะหลุดออกโดยไม่รู้ตัว

7. น้ำสับปะรด ชุบสำลีปิดติ่งเนื้อวันละ 2 รอบ วิธีนี้จะระคายเคืองอาจไม่เหมาะกับผิวบอบบาง

วิธีไหนมีของใกล้มือลองทำดู ได้ผลอย่างไรอย่าลืมมาแบ่งปันกันนะครับ




กินบ่อยๆจะดีมาก แกงเลียง อาหารพื้นบ้านแต่ประโยชน์มหาศาล


กินบ่อยๆจะดีมาก แกงเลียง อาหารพื้นบ้านแต่ประโยชน์มหาศาล

"แกงเลียง" อาหารพื้นบ้านที่มีมาแต่โบราณ เป็นแหล่งรวมสารพัดผัก เครื่องเทศที่มีคุณค่าทางโภชนาการในถ้วย

เดียว เป็นอาหารที่มีความเผ็ดร้อน ให้ใยอาหารสูง ได้วิตามินและแร่ธาตุ ช่วยบำรุงน้ำนมแม่ ที่สำคัญช่วยต้านโรค

มะเร็งได้ด้วย

สารพัดผักที่มีคุณค่าในแกงเลียงไม่ว่าจะเป็นพริกไทย หอมแดง พริกขี้หนู ใบแมงลัก ตำลึง บวบ ฟักทอง กะปิ ฯลฯ 

เรียกได้ว่ากินแกงเลียงถ้วยนึง ได้กินสารพัดผักเลยทีเดียว

จากการวิจัย สารกลุ่มแคโรทีนอยด์ และกลุ่มลาวานอยด์ในแกงเลียง มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการ

อักเสบที่เกิดขึ้นในเซลต่างๆ ได้ มีศักยภาพให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติที่ไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์อื่นๆใน

ร่างกายได้มากถึง 45 เปอร์เซ็นต์ และแกงเหลืองทำให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติเพิ่มขึ้นอีก 15 เท่า