สูตรแอปเปิ้ลลดรอยดำ เคล็ดลับปัญหาผิว

ปัญหาจุดด่างดำเป็นปัญหาที่ต้องใช้เวลารักษาพอสมควร แต่ถึงจะรักษายากหน่อยก็ยังดีกว่าปล่อยไว้ให้ใบหน้าดูหมองคล้ำ นอกจากการรักษาจากแพทย์แล้ว การบำรุงด้วยสูตรธรรมชาติก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยบรรเทาและทำให้จุดด่างดำจางลงได้ สูตรวันนี้ที่แนะนำจะเป็นสูตรลับจากแอปเปิ้ล ดีแค่ไหนลองทำตามเลยค่ะ


สิ่งที่ต้องเตรียม

  • แอปเปิ้ล
  • สำลี

วิธีรักษาผิว

  1. ฝานแอปเปิ้ลเป็นชิ้นบางๆ แล้ววางแปะให้ทั่วใบหน้า
  2. ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที
  3. ใช้สำลีชุบน้ำเปล่าเช็ดให้สะอาด
จะช่วยให้รอยดำจากสิวหรือรอยสิวหายไวขึ้น และสาวคนไหนที่ใต้ตาคล้ำ ก็อาจจะวางชิ้นแอปเปิ้ลไว้ใต้ตาและบนเปลือกตาได้ก็ช่วยได้ค่ะ
แต่หากเพื่อนๆ ต้องการดูแลรอยสิว หรือรอยแผลเป็นจากสิว สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลรอยสิวได้ผลอย่าง Hiruscar Post Acne (ฮีรูสการ์ โพสต์ แอคเน่) โดยมีแนวทางการใช้ดังนี้ค่ะ
               
                 เคล็ดลับง่ายๆ ทำได้แบบไม่ต้องวุ่นวายเลยใช่ไหมล่ะ ใครมีปัญหานี้ลองนำไปบำรุงกันนะคะ


แก้ปัญหารักแร้ดำด้วยน้ำมันมะพร้าว

ช่วงนี้คอนเสิร์ตศิลปินทั้งไทยและต่างประเทศเยอะแยะมากมาย ใครเป็นสายดนตรีคงชอบไปสนุกสนานในคอนเสิร์ตกันบ้าง วันนี้สดสวยจะมาเม้าเบาๆ ให้อ่านกันค่ะ เรื่องมีอยู่ว่าเพิ่งไปดูคอนเสิร์ตมากับแก๊งค์ป้า (เพื่อนสาวนั่นเอง) กันอย่างสนุกสนาน มีชีนางนึงแต่งตัวสวยงามดูมั่นใจ ใครๆ ก็ต้องเหลียวมองชีไม่เว้นแม้แต่สดสวย
แต่ให้ตายเถอะ ช็อตนั้นติดตามาก!
เมื่อเจ้าหล่อนยกแขน Push Your Hands Up ขึ้นมา ห๊าาาา รักแร้ดำมากค่ะชี เรื่องแบบนี้อย่าปล่อยให้เกิดขึ้นกับเราเด็ดขาด เพราะความสวยจะถูกหักลงไปเกิน 50% ในบัดดล เพราะฉะนั้นหันมาดูแลจุดเล็กๆ อย่างรักแร้ด้วยเคล็ดลับนี้กันดีกว่าค่ะ

สิ่งที่ต้องเตรียม

  • น้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำแตงกวาคั้นสด 1 ช้อนชา
  • น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
  • ผงขมิ้นครึ่งช้อนชา

วิธีทำ

  1. นำน้ำแตงกวาคั้น 1 ช้อนชา, น้ำมะนาว 1 ช้อนชา, ผงขมิ้นครึ่งช้อนชา มาผสมให้เข้ากันจนเป็นเนื้อครีมเหลวๆ
  2. พอได้ส่วนผสมแล้วก็ไปอาบน้ำ แล้วเช็ดตัวให้แห้ง
  3. จากนั้นก็ใช้สำลีชุบน้ำมันมะพร้าวที่เตรียมเอาไว้จำนวน 1 ช้อนชา นำมาเช็ดบริเวณรักแร้
  4. หลังจากนั้นก็นำเอาส่วนผสมที่เตรียมเอาไว้มาทาบริเวณรักแร้ทิ้งไว้ ประมาณ 20 นาที
  5. แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะช่วยลดปัญหารักแร้ดำได้ค่ะ
ลองดูนะคะสาวๆ อย่าปล่อยให้เราไปอยู่ในสถานการณ์แห่งความอับอายเด็ดขาด ลองนำเคล็ดลับนี้ไปดูแลตัวเองด่วนเลยค่ะ


บอกลาใต้ตาคล้ำด้วย เบกกิ้งโซดา

ปัญหาใต้ตาคล้ำเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ สาวๆ ที่พักผ่อนน้อย นอนดึก อดนอน มักจะเจอกับปัญหานี้กันทั้งนั้น ทำให้เราแปลงร่างจากคนกลายเป็นแพนด้าได้ อย่าปล่อยให้ปัญหานี้อยู่กับเรานานเกินไปค่ะ ลองนำเคล็ดลับจากเบกกิ้งโซดาไปใช้ แล้วจะพบว่าใต้ตาเราจะกระจ่างใสขึ้นค่ะ


  • นำเบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชามาผสมกับน้ำอุ่น ทำให้เป็นเนื้อครีม
  • ใช้คอตตอนบัดจุ่มลงไปในเนื้อครีมเบกกิ้งโซดา แล้วนำไปทาไว้บริเวณใต้ตา (ระวังอย่าให้เข้าตา) จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที
  • ล้างทำความสะอาดออกให้หมด แล้วบำรุงด้วยอายครีมก่อนนอนอีกครั้ง
ประโยชน์ของเบกกิ้งโซดาจะช่วยลดความหมองคล้ำใต้ตาไปได้ เพราะเบกกิ้งโซดาจะกำจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดออกได้ง่ายดาย
ที่เหลือก็แค่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการพักผ่อน นอนให้เพียงพอ และดื่มน้ำสะอาดตลอดทั้งวัน เพียงแค่นี้ก็จะช่วยให้ผิวรอบดวงตาของเราเปล่งปลั่งสดใส หมดปัญหาเรื่องแพนด้าจนไม่กล้าโชว์หน้าสดออกจากบ้านแน่นอนค่ะ


หลากเหตุผลที่คนผิวบาง “ไม่ควร” ทำเลเซอร์

สาวๆ ผิวบอบบางมักจะมีข้อจำกัดด้านความงามมากมายหลายข้อกว่าสาวๆ ผิวปกติ และเป็นเพราะผิวบอบบางนี่แหละที่เป็นสาเหตุให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำง่ายๆ แต่พอครั้นจะรักษาก็รักษาโดยวิธีเร่งด่วนแบบเลเซอร์ลำบากอีก เพราะกลัวว่าถ้าไปทำเลเซอร์แล้วผิวหน้าจะบางกว่าเดิม เพิ่มเติมคือจุดด่างดำที่กลับมา เสียเงิน เสียเวลา ปวดใจกับผิวหน้าที่เยินกว่าเดิมไปอีก ก่อนอื่นลองมาดูผลข้างเคียงจากการทำเลเซอร์ที่สาวๆ ผิวบอบบางหรือแพ้ง่ายอาจจะต้องเจอก่อนดีกว่าค่ะ


ผิวอ่อนแอ

ปกติผิวก็บอบบางอ่อนแออยู่แล้ว การไปทำเลเซอร์จะยิ่งทำให้ผิวหน้าไวต่อแดด ระคายเคืองต่อเครื่องสำอางง่าย บางทีเลเซอร์ก็เหมือนเป็นตัวการทำให้ผิวไวต่อความร้อนเข้าไปอีก เป็นเหตุให้ผิวระคายเคืองและเกิดจุดด่างดำได้ง่ายค่ะ

ผิวแห้ง

การทำเลเซอร์อาจทำให้คนผิวบอบบาง เกิดความแห้ง และเป็นขุยง่าย ความร้อนจากเลเซอร์จะทำให้ผิวแห้ง ลอกเป็นขุยหลังทำได้มากกว่าคนที่มีผิวแข็งแรงเป็นปกติค่ะ

ต้องใช้ผลิตภัณฑ์จากแพทย์

สังเกตไหมว่าคนที่ไปรักษาผิวด้วยเลเซอร์จะต้องทายาของแพทย์ในระยะยาว โดยเฉพาะคนผิวบอบบาง นั่นหมายความว่าผิวเราอ่อนแอจนต้องอยู่ได้ด้วยยา ถ้าหากทำเลเซอร์บ่อยๆ ผิวก็จะยิ่งระคายเคืองมากขึ้น


ทั้งหมดที่สดสวยบอกมาไม่ใช่การโจมตีการทำเลเซอร์เลยค่ะ แต่เพียงจะบอกถึงข้อเสียของคนผิวอ่อนแอที่อาจเจอผลข้างเคียงในการทำเลเซอร์ แต่ถ้าอยากทำจริงๆ แนะนำว่าเราต้องรักษาผิวควบคู่ไปกับการทำทรีตเม้นต์นะคะ เพราะมันจะช่วยทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น ไม่เจอปัญหาผิวอย่างที่กล่าวมา ดังนั้นหมั่นดูแลผิวหน้าให้แข็งแรง เรื่องการทำเลเซอร์ก็จะไม่เป็นปัญหาค่ะ


5 เคล็ดลับ กำจัดสิวหัวดำ

สิวหัวดำเป็นสิวที่ทำให้เรารู้สึกอายได้ไม่แพ้กับสิวเม็ดใหญ่เลยนะคะสาวๆ เวลาที่ใครมามองหน้าใกล้ๆ แทบไม่อยากหันหน้าให้ใครเพ่งเลยล่ะค่ะซึ่งสิวหัวดำนี้ เกิดจากการที่ร่างกายของเราผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป และมาอุดตันอยู่บนรูขุมขนของเรา จากนั้นก็เกิดการอักเสบมีการกระจายของเชื้อแบคทีเรีย ผสมเข้ากับสิ่งที่เป็นพิษต่าง ๆ จนกระทั่งเกิดเป็นสิวหัวดำขึ้นมา
เราต้องหาวิธีกำจัดมันให้หมดไป ด้วยการใช้สูตรธรรมชาตินี่แหละค่ะ ลองมาดูกันว่า 5 สูตรที่สดสวยนำมาบอกต่อมีอะไรน่าสนใจบ้าง

1.น้ำมันกานพลู

น้ำมันกานพลูถือเป็นยาฆ่าเชื้อตามธรรมชาติ ช่วยลดการอักเสบ ติดเชื้อได้ นำไปทาลงบนผิวก็จะช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหาย และรักษาสิวได้ แต่ควรใช้ในปริมาณที่บางเบาอย่าให้เข้มข้นมาก ให้ผสมน้ำมันกานพลู 2-3 ช้อน กับน้ำมันมะพร้าว 10 ช้อน แล้วจึงนำมาทาผิวจะช่วยปลอบประโลมผิวและกำจัดสิวหัวดำได้ค่ะ

2.น้ำมันลาเวนเดอร์

คุณสมบัติของน้ำมันลาเวนเดอร์ก็คล้ายกับน้ำมันกานพลูในเรื่องของการต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย และลดการติดเชื้อ ให้นำเกลือทะเล 1 ถ้วย มาผสมกับน้ำมันลาเวนเดอร์ 10 หยด แล้วนำมาทาให้ทั่วบริเวณที่เป็นสิว แล้วทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ทำสัปดาห์ละ 2 ถึง 3 ครั้งค่ะ

3.ทีทรีออยล์

นี่ก็เช่นกันมีคุณสมบัติในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย อีกทั้งยังช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นได้ด้วย แค่นำเอาน้ำมันมาหยดในน้ำเปล่า แล้วทาลงบนผิว ทิ้งไว้ 20 นาที จะช่วยผ่อนคลายร่างกาย และรักษาสิวหัวดำไปในตัวแล้วล่ะค่ะ

4.เบกกิ้งโซดา

เบกกิ้งโซดา สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่กำลังแพร่กระจายอยู่บนผิวหนังของเราได้ วิธีการใช้ง่าย ๆ ก็คือ ให้ผสมเบกกิ้งโซดา 2 ช้อนกับน้ำ 4 ช้อน นำไปทาบริเวณที่เป็นสิวหัวดำโดยทาให้หนา และทิ้งจนแห้ง ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่าค่ะ

5.น้ำผึ้ง ซินนามอน และน้ำมะนาว

สูตรนี้มีสรรพคุณต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ช่วงรักษาสิว และลดเลือนรอยแผลเป็น วิธีการคือให้นำผงซินนามอน 1 ช้อน ผสมกับน้ำผึ้ง 2 ช้อน ใส่น้ำมะนาวลงไป 2-3 หยด ผสมให้เข้ากันแล้วทาบริเวณที่เป็นสิวหัวดำ ทิ้งไว้จนแห้งแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ให้ทำซ้ำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง

ครบ 5 สูตรที่ช่วยกำจัดสิวหัวดำ และทุกสูตรเลือกใช้เฉพาะส่วนผสมจากธรรมชาติทั้งนั้นเลย เรื่องความปลอดภัยก็บอกได้เลยว่าหายห่วง ใครที่อยากกำจัดสิวหัวดำลองทำดูนะคะ


วิธีจัดการกับสิวไม่มีหัวโดยไม่ทิ้งแผลเป็น

สิวเปล่งบนใบหน้าถึงแม้ว่าไม่มีหัวสิว แต่ความเจ็บปวดนี่สิ สุดระบมจนพูดไม่ออกยิ่งกว่าสิวอักเสบมีหัวเสียอีก แต่ครั้นจะบีบออกก็ไม่สามารถทำได้เพราะบางทีรูขุมขนยังไม่เปิด และถ้ารุนแรงก็อาจเกิดรอยแผลจากสิวได้ง่ายมาก เพราะฉะนั้นมาดูวิธีจัดการกับสิวประเภทนี้กันเลยค่ะ


1.ประคบร้อนลดบวม

ขั้นตอนแรกที่ควรทำคือการลดบวมเสียก่อนค่ะ ก่อนที่สิวจะมีหัวผุดขึ้นมามันจะมีอาการบวมแดงปวดระบมอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเราลดบวมด้วยการประคบความร้อนจะช่วยบรรเทาการบวมได้ โดยประคบไป 3 ครั้งต่อวัน แต่ระวังอย่าร้อนจัดจนผิวไม่สามารถทนความร้อนไหว เพราะจะบวมหนักกว่าเดิมค่ะ

2.ประคบเย็นลดปวด

อาการปวดบวมของสิวไม่มีหัวสามารถบรรเทาได้โดยการนำก้อนน้ำแข็ง หรือคูลแพ็คสำหรับประคบเย็น ประคบตรงจุดที่เป็นสิวนานประมาณ 10 นาที ทำหลายครั้งต่อวันได้จนกว่าอาการปวดใต้ผิวหนังจะค่อย ๆ บรรเทาลง วิธีนี้ยังช่วยลดอาการผื่นแดงและบวมช้ำของผิวหนังบริเวณที่เกิดสิวได้เป็นอย่างดีอีกด้วยค่ะ

3.น้ำผึ้งลดการอักเสบ

น้ำผึ้ง มีสารต้านจุลชีพและแบคทีเรียที่เข้ามาอุดตันรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิวไม่มีหัว แค่ทาน้ำผึ้งบริเวณที่เป็นสิวทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำสามครั้งต่อวันสิวก็จะค่อยๆ ยุบลงโดยไม่เกิดแผลหรือรอยสิวอย่างแน่นอน

4.ใช้เจลแต้มสิว

Hiruscar Anti-Acne SPOT GEL ฮีรูสการ์ แอนตี้ แอคเน่ สปอต เจล เป็นอีกหนึ่งทางเลือก สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการให้สิวยุบเร็วขึ้น โดยเฉพาะสิวอักเสบ ดูรีวิวจากสดสวยเพิ่มเติมได้ที่บทความนี้เลยค่ะ

5.มาส์กบำรุง

นอกจากการป้องกันรักษาแล้ว การบำรุงก็เป็นสิ่งสำคัญค่ะ ลองนำขมิ้น 1 ช้อนชา น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา และโยเกิร์ต หรือนม 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน แล้วนำมามาสก์ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จากนั้นล้างออก สูตรนี้จะช่วยรักษาปัญหาสิวได้ เพราะจะช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียและอนุมูลอิสระ ยับยั้งการอักเสบของสิว ช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นจากสิวได้ด้วยค่ะ

ขั้นตอนง่ายๆ เหล่านี้สามารถช่วยให้ปัญหารอยสิวจากสิวไม่มีหัวไม่เกิดขึ้นได้จริงๆ ค่ะ เสียเวลาดูแลผิวสักหน่อยแต่ผลลัพธ์ที่กลับมาเป็นความงามที่คุ้มค่าจริงๆ นะคะ


มะเขือเทศ กินแบบไหนถึงได้ประโยชน์จริงกันแน่?

“ปากแดงๆ จะไว้ใจได้กา
หน้าสวยๆ จะไว้ใจได้กา
แก้มขาวๆ จะไว้ใจได้กา…”
พอพูดถึงปากแดงๆ แก้มแดงๆ แล้วเฮียก็ชอบคิดถึง “มะเขือเทศ” ซึ่งวันนี้เฮียมีเรื่องราวดีๆ ของเจ้าสิ่งนี้มาฝากกัน!!
หากชอบกินมะเขือเทศ ขอบอกว่าห้ามพลาดเคล็ดลับเหล่านี้ เพราะที่ผ่านมาคุณอาจกินแบบผิดวิธีก็ได้ มาลองปรับกันสักนิดแล้วคุณจะได้รับคุณค่าจากมะเขือเทศเพิ่มขึ้นอีกเยอะ
เดิมเราเชื่อว่าเมื่อกินมะเขือเทศสด ๆ จะได้รับประโยชน์ มาคราวนี้มีคนออกมาโต้แย้งว่า มะเขือเทศต้องกินแบบสุกจึงจะได้รับเบต้าแคโรทีนสูงกว่า เอ๊ะ.. ยังไงกัน เพื่อความกระจ่างเราเลยไปสอบถามข้อมูลจาก คุณอัจฉรีย์ สุวรรณชื่น นักวิชาการโภชนาการโรงพยาบาลรามาธิบดี ว่าจริง ๆ แล้ว มะเขือเทศต้องกินแบบไหนถึงจะได้รับคุณค่าสารอาหารครบถ้วนที่สุด

ทำความรู้จักมะเขือเทศ


มะเขือเทศเป็นพืชล้มลุกชนิดหนึ่งที่พบได้ทั่วโลก มีการบริโภคอย่างกว้างขวางทั้งในรูปแบบของผักและผลไม้ รวมถึงทำเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ นอกจากสีแดงที่ช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้จานอาหารแล้วรสชาติที่น่ารับประทานก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่ง ทั้งนี้ เพราะมะเขือเทศมีกลูตาเมตซึ่งเป็นสารที่ให้รสอร่อยเราจึงนิยมนำมะเขือเทศมาเป็นส่วนประกอบในการเพิ่มความกลมกล่อมให้กับอาหารหลากหลายเมนู สำหรับในแง่ประโยชน์ด้านโภชนาการก็มีมากมายและน่าสนใจไม่แพ้สีสันและรสชาติสารอาหารที่พบในมะเขือเทศมีหลายชนิดทั้งกลุ่มวิตามินละลายน้ำ เช่น วิตามินซีและบี ซึ่งเมื่อถูกชะล้างและความร้อนก็จะสูญสลายได้ง่าย
ดังนั้น หากต้องการคุณค่าดังกล่าวก็ควรรับประทานแบบสด ยิ่งถ้าเลือกที่สดใหม่และเป็นผักปลอดสารเคมีได้ยิ่งดี เวลาเตรียมก็ไม่ต้องล้างน้ำมากนัก เพื่อคงคุณค่าสารอาหารได้อย่างเต็มที่

เมนูแนะนำทำจากมะเขือเทศ

นำเสนอทั้งแบบสดและสุก เป็นเมนูกลาง ๆ ที่สามารถรับประทานได้ทุกเพศทุกวัย แต่การที่เราจะได้รับสารอาหารมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับปริมาณและการดูดซึมของสารอาหารแต่ละชนิดด้วย เบต้าแคโรทีนจะดูดซึมได้ดีขึ้นเมื่อมีน้ำมันเป็นส่วนประกอบและปรุงผ่านความร้อน

แต่มะเขือเทศไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะแค่สารเบต้าแคโรทีนอย่างเดียว ยังประกอบไปด้วยสารอาหารอีกมากมายหลายชนิด เช่น วิตามินบี วิตามินซี วิตามินเค โพแทสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ใยอาหาร ฯลฯ การนำมะเขือเทศไปปรุงสุกจะทำให้วิตามินบางตัว เช่น วิตามินบีและซีลดลงมากหรืออาจแทบไม่เหลือเลย ขึ้นอยู่กับวิธีการปรุง ดังนั้น ในทางโภชนาการจะแนะนำให้กินหลากหลาย ปรุงสุกบ้าง หรือกินสดบางคราวสลับหมุนเวียนกันไปเพื่อให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วน

อาหารจานด่วนก่อกวนชวนเป็นโรคซึมเศร้า!

พิซซ่า ฮ็อตด็อก แฮมเบอร์เกอร์ ครัวซองต์ โดนัท ขนมเค้ก หรือแม้แต่ข้าวผัดกะเพราบ้านเราล้วนเป็นอาหารจานด่วนที่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยลัสปัลมัสเดกรันกานาเรียและมหาวิทยาลัยกรานาดา ประเทศสเปน ชี้ว่าอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคซึมเศร้า


หลังเฝ้าติดตามพฤติกรรมการกินอาหารและประวัติความเจ็บป่วยของอาสาสมัคร 8,964 คน นาน 6 ปีพบว่า…

ผู้ที่กินอาหารจานด่วนบ่อยครั้งมีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าหรือจำเป็นต้องใช้ยากล่อมประสาท มากกว่าผู้ที่กินอาหารจานด่วนน้อยครั้งหรือไม่กิน ถึงร้อยละ 37

แถมพบว่า บรรดาสาวกอาหารจานด่วนมีรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ส่งเสริมให้เกิดโรคซึมเศร้าอีกด้วย เช่น อาศัยอยู่คนเดียว ไม่ออกกำลังกาย กินอาหารนอกบ้าน กินผักผลไม้น้อย สูบบุหรี่

แม้นักวิจัยไม่ได้ระบุแน่ชัดว่า ต้องกินอาหารจานด่วนปริมาณเท่าไหร่หรือนานเพียงใด โรคซึมเศร้าจึงแสดงอาการ แต่ย้ำชัดว่า ยิ่งกินมากความเสี่ยงยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะอาจขาดสารอาหารหลายชนิดจนสมองทำงานผิดปกติ ส่งผลให้อารมณ์แปรปรวน แถมพ่วงด้วยอีกสารพัดโรคเรื้อรัง เมื่ออายุเพิ่มขึ้นจึงสุ่มเสี่ยงป่วยทั้งใจและกาย


6 ข้อประโยชน์ของเกลือ ที่คุณยังไม่รู้

หลายคนกล่าวหาว่า “เกลือ” หรือโซเดียม คือคนร้ายทำลายอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย แต่นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้จักวิธีและปริมาณการบริโภคที่ถูกต้องต่างหากเล่า!

หนังสือ Healing with Whole Foods เขียนโดย พอล พิตซ์ฟอร์ด กล่าวถึงประโยชน์ของเกลือไว้ว่า…



  1. ช่วยไตกักเก็บน้ำให้ร่างกาย โดยเฉพาะในช่วงที่เราไม่ได้ดื่มน้ำ แต่ร่างกายต้องการน้ำไปใช้ในการลำเลียงของเหลวภายใน
  2. ช่วยไตขับท็อกซินออกจากร่างกาย ทั้งในรูปของปัสสาวะและเหงื่อ
  3. ช่วยเสริมสร้างระบบย่อย ลดอาการบวมของลำไส้เล็ก ทำให้อาหารลำเลียงมาลำไส้ใหญ่ง่ายขึ้น
  4. ช่วยลดการแข็งตัวของต่อมต่างๆ รวมทั้งต่อมน้ำเหลืองและกล้ามเนื้อ
  5. ช่วยควบคุมความเป็นกรดและเพิ่มความเป็นด่างในร่างกาย
  6. เกลือทะเลที่มีสีออกน้ำเงินระเรื่อๆ มีแร่ธาตุหลายชนิดที่ช่วยการดูดซึมแร่ธาตุในร่างกาย
อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องจำกักการบริโภคเกลือให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมอยู่ดีนะครับ


“ทูน่ากระป๋อง” โปรตีนย่อยง่าย แต่ส่งผลร้ายได้เหมือนกัน!


แน่นอนว่าทุกครั้งที่เราพูดถึง “อาหารเพื่อสุขภาพ” เมนูแรกๆ ที่จะคิดถึงเลยก็คือ ปลา!

ซึ่งเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า “เนื้อปลา” นั้นเป็นแหล่งของโปรตีน ช่วยย่อยและให้คุณค่าทางสารอาหาร ไม่ว่าจะเป็นปลาน้ำจืดหรือปลาทะเลก็ล้วนแต่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งนั้น และหนึ่งในนั้นก็คือ “ปลาทูน่า” นั่นเอง และด้วยประโยชน์ที่มากมายทั้งรสชาตอร่อยประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู (แม้จะมีบ้างที่นิยมกินแบบสดๆ อย่างซูชิ) แต่ในที่นี้เฮียกำลังพูดถึงก็คือ การนำเอามาแปรรูปใหม่ ในนามว่า…

“ทูน่ากระป๋อง”

เฮียไม่เถียงหรอกว่า เจ้าทูน่ากระป๋องนั้นยังคงมีประโยชน์อยู่ ไขมันที่ได้รับจากปลาทูน่าจัดเป็นไขมันชนิดดี (HDL) หรือไขมันอิ่มตัว ให้พลังงานต่ำ ป้องกันการสะสมของไขมันอิ่มตัว หรือคอเลสเตอรอลซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เส้นเลือดอุดตัน ทั้งยังเป็นแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยมที่ย่อยง่ายกว่าเนื้อสัตว์อื่นๆ

แต่การบริโภคทูน่ากระป๋องเกือบทุกวัน ส่งผลร้ายได้เหมือนกัน!






















เป็นไปได้ที่คุณจะเผชิญกับปัญหาสุขภาพจากสาเหตุร่างกายสะสมปรอท คริสเตียน เด็กส์ กูรูด้านโภชนาการประจำ Women’s Health เสริมว่า
“หากคุณกำลังตั้งครรภ์หรือวางแผนมีลูกในอนาคตอันใกล้การกินทูน่า 5 วันต่อสัปดาห์ไม่ควรทำ แม้คุณยังไม่คิดจะมีลูกในเร็ววันการกินทูน่าเกิน 3 กระป๋องต่อสัปดาห์ นับว่ามากเกินในแง่ความหลากหลายของอาหารการกินอะไรมากเกินไปมักก่อปัญหาในระยะยาว”
การกินทูน่าเป็นแหล่งโปรตีนหลักตลอดเวลามีผลให้คุณขาดสารอาหารอื่นๆ และหากกินทูน่ากระป๋องเป็นอาหารกลางวันอย่าลืมบอกลาทูน่าในน้ำมันเพราะมันเต็มไปด้วยไขมันและแคลอรี่ เลือกทูน่าในน้ำแร่ดีกว่านะครับ


6 ผลลัพท์ที่คุณต้องทึ่ง เมื่อเลิก “นมเนย” ได้

แม้ว่านมเนย จะมีประโยชน์และให้แคลเซียมต่อร่างกายแต่เชื่อหรือไม่ว่า เมื่อคุณตัดสินใจเลิกบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม คุณจะพบความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ทั้งระบบการทำงานภายในที่แข็งแรง ผิวพรรณภายนอกที่สดชื่นผ่องใสไปจนถึงรอเอวที่ค่อยๆ หายไปจนน่าอัศจรรย์และต่อไปนี้คือ 6 ผลลัพท์ที่คุณต้องทึ่ง!


ระบบการย่อยอาหารดีขึ้น

คนส่วนมากต่างได้รับความทุกข์ทรมานจากอาการท้องไส้ปั่นป่วน บางคนถึงขั้นท้องเสียท้องอืด ซึ่งล้วนแต่เป็นผลมาจากกระเพาะและลำไส้ไม่สามารถย่อยน้ำตาลแล็กโทสในนมได้ (น้ำตาลแล็กโทสมักพบในนมที่ได้จากสัตว์ทุกชนิด) และไม่เฉพาะชาวเอเชียที่ประสบกับปัญหานี้แม้แต่ชาวอเมริกาจำนวนมากก็ต้องผจญกับภาวะดังกล่าว อันเนื่องมาจากร่างกายจะผลิตน้ำย่อยสำหรับย่อยแล็กโทสได้เฉพาะช่วง 4-5 ปีแรกหลังจากนั้นน้ำย่อยก็จะค่อยๆ ลดลง
ฉะนั้นเมื่อหยุดกินนมเนย คุณจะเห็นถึงระบบการย่อยที่เปลี่ยนแปลง อาการไม่สบายท้องจะค่อยๆหายไป รวมทั้งตอสนองต่อการย่อยได้ดีขึ้น Julieanna  ผู้เขียนหนังสือ The Veglterranean Diet  The Complete ldio’s Guide to Plant-Based Nutrition กล่าว ไม่ว่าจะเป็นคนชาติใด เมื่อเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ร่างกายจะหยุดผลิตแล็กเทสเป็นเอนไซม์ที่ลำไส้เล็กสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการย่อยน้ำตาลแล็กโทสให้เป็นกาแล็กโทสและกลูโคส
—————————————————————————————————

น้ำหนักลดรอบเอวหาย

เราเข้าใจว่าไขมันในน้ำนมทำให้คนเราอ้วนแต่ในความเป็นจริง น้ำตาล(หรือคาร์ไฮเดรต)ที่เป็นส่วนประกอบในน้ำนมต่างหากที่ทำให้น้ำหนักของเราเพิ่มขึ้นโดยผลการศึกษาที่ตีพิมในThe Joumal of Clinical Nutrlfion ได้สำรวจเด็กๆจำนวน12,000คน พบว่ายิ่งเด็ก ดื่มนมมากขึ้นเท่าไหร่น้ำหนักของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นมากด้วย และผลวิจัยล่าสุดยังได้สรุปเพิ่มเติมด้วยว่าการกินมังสวิรัตินั้นถือเป็นวิธีลดน้ำหนักที่จริงแท้และยั่งยืนมากกว่า
—————————————————————————————————

รับแคลเซียมจากแหล่งอื่น

เราเคยอาจได้ยินมาว่านมเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญโดยเฉพาะแคลเซียม แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้ที่มีภาะแพ้นมเนยจนไม่สามารถบริโภคได้นั้นกลับพบว่ากระดูกของพวกเขายังคงความแข็งแรงแม้จะไม่ได้ดื่มนมเลยก็ตาม แม้ว่านมจะมีแคลเซียมอยู่ก็จริง แต่เราสามารถรับแคลเซียมจากแหล่งอื่นๆได้ดีกว่าโดยเฉพาะพวกผักและธัญพืช เช่น ผักใบเขียว.ถั่ว.นมจากพืช.เต้าหู้.งาดำ.(คืองาบดจนเป็นครีมข้นซึ่งเป็นอาหารพื้นเมืองจากแถบตะวันออกกลาง) อัลมอนด์.และเนยอัลมอนด์ เมื่อตัดนมเนยออกไป คุณจะเพริดเพลินไปกับความอร่อยของพืชผักทั้งหลากหลายและดีต่อสุขภาพมากกว่า
—————————————————————————————————

ลดความเสี่ยงจากโรคเรื้อรัง

เพราะนมอุดมไปด้วยไขมันอิ่มตัว คอเลสเตอรอลและสเตียรอยด์(ยกเว้นนมออร์แกนิกซึ่งได้จากวัวที่เลี้ยงด้วยหญ้า)ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับการเจ็บป่วยเรื้อรังในบางโรค จึงแนะนำว่าการเลิกบริโภคนมเนยจะช่ยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด.เบาหวานประเภทที่ 2 (ชนิดไม่ต้องพึ่งอินซูลิน)  โรคอ้วนและโรคเรื้อรังอื่นๆ อีกมากมาย  ไขมันอิ่มตัวและโคลเลสเตอรอลในอาหารล้วนเชื่อมโยงกับอาการเจ็บป่วยเรื้อรังเหล่านี้ทั้งสิ้น นอกจากนี้ นมเนยยังอาจสัมพันธ์กับโรคมะเร็งเพราะพบความเกี่ยวพันธ์กับฮอร์โมนในร่างกาย เช่น รังไข่ และต่อมลูกหมากอีกด้วย
—————————————————————————————————

สิวหายผิวผ่องใส

หนึ่งในเคล็ดลับเบื้องต้นของการรักษาสิวจากแพทย์ผิวหนังคือการเลิกบริโภคนมเนย เนื่องจากในนมวัวประกอบด้วยโกรว์ธฮอร์โมน(อาจส่งผลให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนเพิ่มสูงขึ้นจนนำไปสู่การผลิตไขมันออกมาเป็นจำนวนมากจึงเป็นสาเหตุให้เกิดสิว)ไขมัน และน้ำตาล(ไม่เว้นแม้กระทั่งนมออร์แกนิก)ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งรบกวนผิวเพราะฉะนั้นเมื่อคุณข่มใจลด ละ เลิกผลิตภัณฑ์นมเนยในช่วงเวลาหนึ่ง สิวที่พร้อมปะทุบนใบหน้าจะค่อยๆสงบลงโดยอาจเห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็วภายในหนึ่งเดือน ขณะที่การรักษาสิวด้วยยาต้องใช้เวลาอย่างน้อย6เดือนในการเยียวยาผิว
—————————————————————————————————

เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของลำไส้

Kayleen St.  John นักวิจัยและนักโภชนาการแห่งสถาบัน  Naturai Gourmet Institute  โรงเรียนสอนทำอาหารเพื่อสุขภาพของนิวยอร์กกล่าวว่า
หากคุณเป็นโรคลำไส้แปรปรวนควรพยายามจำกัดอาหารที่มีน้ำตาลธรรมชาติ หรืออาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่ดูดซึมได้น้อยในลำไส้ และเป็นกลุ่มที่ส่งเสริมให้แบคทีเรียในลำไส้เติบโต การกำจัดแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลแล็กโทสที่มีในน้ำนมจะส่งผลให้ลำไส้ของคนเราทำงานดีขึ้น
—————————————————————————————————
ในชีวิตประจำอาจเป็นเรื่องค่อยข้างลำบากสำหรับหลายๆ คนที่จะให้เลิกผลิตภัณฑ์จากนมเนยก็ให้เลือกเป็นการหลีกเลี่ยงแทน อย่างไร การเดินทางสายกลางน่าจะส่งดีกับสุขภาพมากที่สุด


“ไอศกรีมตะไคร้” เอาใจคนไม่กินผักกับเมนูมังสวิรัติหวานอร่อย

“ตะไคร้” ชื่อนี้ไม่มีคนไทยคนไหนไม่รู้จักอย่างแน่นอนเลยถูกมั้ยครับ? จะว่าไปแล้วนับว่าเป็นพืชเศรษฐกิจหรือเป็นพืชผักสวนครัวที่อยู่คู่ครอบครัวไทยเรามาอย่างยาวนาน ทั้งยังเป็นหนึ่งในสมุนไพรไทยที่มีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยในการเจริญอาหาร แก้อาการปวดศีรษะ รักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ รักษาโรคหอบหืดได้ด้วยเหมือนกัน
แต่ถึงอย่างนั้น เวลาที่เจ้าตะไคร้อยู่ในแกงต้มผัดทอดอะไรก็แล้วแต่หลายคนก็มักจะเขี่ยมันทิ้งไปเสียอย่างนั้น แบบนี้แล้วเฮียเลยลองไปหาเมนูที่จะช่วยให้การกินตะไคร้ของเพื่อนๆ เป็นไปอย่างง่ายดายมากขึ้นกับ…

“ไอศกรีมตะไคร้”


ส่วนผสม

  • ก้านตะไคร้ตัดปอกเปลือก
  • กะทิ
  • น้ำเชื่อมเมเปิ้ล
  • เกลือ
  • แซนแทนกัม

วิธีทำ

  1. นำตะไคร้หั่นแล้วจัดการปั่นให้เป็นเนื้อละเอียด
  2. ตั้งกระทะให้ร้อน ใส่กะทิ น้ำเชื่อมและตะไคร้ปั่นลงไป กวนจนเริ่มเป็นฟองแล้วพอ
  3. ใส่เกลือและแซนแทนกัม รอจนเย็น
  4. นำไปใส่แท่งพิมพ์ แล้วฟรีซ
เพียงเท่านี้ก็ได้ไอศกรีมตะไคร้มาทานกันแล้วครับ บอกเลยว่าไอศกรีมเมนูนี้นั้นเป็นแบบมังสวิรัติเสียด้วย เก๋และคูลไม่เบาเลยนะครับ ลองไปทำตามกันดู!