DIY น้ำมันมะพร้าว + นม มาส์กผิวชุ่มชื้นได้จริง

ใครไปเที่ยวอากาศหนาวๆ อย่าลืมเตรียมผิวให้พร้อมนะคะ เพราะอากาศหนาวจะดึงเอาความชุ่มชื้นในผิวเราไปจนหมด นอกจากนี้หลังจากกลับมาก็ควรบำรุงผิวอย่างล้ำลึก เพราะอากาศหนาวทำร้ายผิวไม่ต่างจากอากาศร้อน
เพียงแต่มีข้อดีอยู่บ้างคือรูขุมขนกระชับขึ้น ดังนั้นสดสวยจึงหาสูตร DIY ที่เหมาะกับสภาพผิวทุกคนมาบอกต่อ นั่นก็คือการนำน้ำมันมะพร้าวและนมมาผสมกันในสัดส่วนที่พอ ๆ กัน ซึ่งสูตรนี้ก็มีวิธีการใช้อยู่ 2 วิธีด้วยกันคือ…

  • วิธีที่ 1 ใช้น้ำมันมะพร้าวและนมอย่างละ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากันและนำมาพอกบาง ๆ บนใบหน้า
  • วิธีที่ 2 ใช้น้ำมันมะพร้าวและนมอย่างละ 4 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากันและนำมาทาบนใบหน้า

วิธีบำรุงผิว

ใช้สำลีแผ่นมาลอกเป็นชั้นบาง ๆ 4 – 5 ชั้น แล้วนำเอาสำลีแต่ละแผ่นไปชุบส่วนผสมให้ชุ่ม จากนั้นจึงนำมาวางบนใบหน้า แล้วมาสก์หน้าทิ้งไว้ 15 – 20 นาที ใช้สำลีแต่ละแผ่นที่ลอกไว้มาเช็ดเบา ๆ ให้ทั่วบริเวณใบหน้า จากนั้นล้างออกให้สะอาดค่ะ

สูตรนี้สามารถทำได้บ่อยไม่อันตรายกับผิวเลยนะคะ ใครที่กำลังเตรียมพร้อมรับลมหนาวอยู่รีบหามาบำรุงกัน
เลยค่ะ

ออกกำลังกายหน้าหนาวยังไงให้ได้ผลดีที่สุด

แม้ลมเย็นๆ ในช่วงเช้าของฤดูหนาวจะทำให้หลายคนอยากซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มนานๆ แต่เพื่อสุขภาพที่ดีพ่วงด้วยความรู้สึกสดชื่นกระฉับกระเฉงแล้ว อย่ามัวนอนอุตุจนสายโด่ง รีบตื่นเช้ามาออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เลือดลมไหลเวียนกันเถอะค่ะ ว่าแต่ในช่วงฤดูหนาว ควรออกกำลังกายยังไงไม่ให้พลาด??

เคล็ดลับการออกกำลังกายในฤดูหนาว



  1. ฤดูหนาวความชื้นในอากาศต่ำ ควรอบอุ่นร่างกายก่อนเสมอเพื่อ เพิ่มอุณหภูมิในร่างกาย และเพิ่มความคล่องตัว ของกล้ามเนื้อก่อนเริ่มทำกิจกรรมที่คุณชื่นชอบ
  1. สำหรับผู้ที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนอาจเริ่มออกกำลังกายจากกิจวัตรประจำวัน เช่น เดินหรือขี่จักรยานรอบหมู่บ้านหรือในที่ที่สามารถทำได้ ทำงานบ้าน งานสวน ล้างรถ ล้างตู้เย็น ขุดดินทำสวน ได้ทั้งนั้น หรือง่ายๆ ที่สุดทำในบ้านได้ คือ ขึ้น-ลง บันไดหลายๆ เที่ยว
  1. วิธีออกกำลังกายในบ้านง่ายๆ ทำได้โดยการหาเก้าอี้ไม้เล็กๆ ขนาดที่ยืนได้ด้วยความปลอดภัยความสูง8-12 นิ้ว วางตรงที่พอใจ แล้วก้าวขึ้น-ลง (ซ้ายขึ้น-ขวาตาม ซ้ายลง-ขวาตาม สลับกันทั้งซ้ายและขวา) ทำให้ได้ 30 นาทีขึ้นไป โดยแบ่งทำเป็นเซ็ต เซ็ตละ 10 นาที ทั้งนี้ควรประเมินศักยภาพของตัวเองด้วย ไม่ควรฝืนเด็ดขาด หากเหนื่อย ให้หยุดทันที
  1. ชุดที่เหมาะสำหรับการออกกำลังกายกลางแจ้งในช่วงฤดูหนาว แนะนำให้สวมใส่เสื้อผ้าที่สามารถกักเก็บความอบอุ่นได้ดี จะช่วยให้อุณหภูมิร่างกายไม่เปลี่ยนแปลงเร็วจนเกินไปในหน้าหนาว ทั้งยังช่วยรักษาสมดุลร่างกายหลังออกกำลังกาย และป้องกันอาการไม่สบายที่อาจเกิดขึ้นได้ภายหลังอีกด้วย
ที่สำคัญอย่าลืมว่าอากาศหนาวจะทำให้ผิวหนังแห้ง ดังนั้น ต้องเพิ่มความชุ่มชื้นบนริมฝีปาก ใบหน้า แขนขาด้วย นอกจากนี้ควรใส่ใจเรื่องโภชนาการด้วย โดยรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก และผลไม้ที่ไม่หวาน รับประทานอาหารที่ร้อนและปรุงเสร็จใหม่ๆ เพื่อรักษาอุณหภูมิร่างกาย รวมถึงเลือกดื่มเครื่องดื่มร้อนๆ เช่น น้ำขิง ชาสมุนไพร เพื่อช่วยให้ชุ่มคอ ลดอาการไอ ป้องกันการเป็นหวัด
สรุปง่ายๆ คือ ฤดูหนาว เป็นช่วงที่เหมาะกับการออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬากลางแจ้งมากที่สุดเพราะทำให้ไม่เหนื่อย หายใจคล่อง ฉะนั้น รีบมาเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกายด้วยการออกกำลังกายกันเถอะค่ะ


www.konphenfai.com
www.facebook.com/jeawshop

4 สมุนไพร 4 สูตรดูแลผิว รักษาสิว ฝ้า กระ

ผิวขาวกระจ่างใสไม่ใช่เรื่องยาก เรามีหลากหลายวิธีที่จะทำให้ผิวปราศจากฝ้า กระ จุดด่างดำ แต่เราเลือกทำแบบเน้นธรรมชาติจะเป็นความงามในระยะยาวมากกว่าค่ะ วันนี้สดสวยแนะนำให้เปิดตู้เย็นดูค่ะ ถ้าเรามีพืชผักสมุนไพรเหล่านี้อยู่ ลองบำรุงผิวให้กระจ่างใสไร้ฝ้ากระดูได้เลย




1.ขมิ้น

นอกจากจะช่วยต่อต้านสิวแล้ว ขมิ้นยังช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใสขึ้นได้ด้วยค่ะ เคล็ดลับง่ายๆ จากขมิ้นคือ นำขมิ้นมาผสมกับน้ำผึ้งแล้วมาสก์หน้าทิ้งไว้ 10 – 15 นาทีก่อนล้างออก ทำเป็นประจำ จุดด่างดำจะลดลง และผิวก็กระจ่างใสขึ้นค่ะ

2.มะขามเปียก

อยู่คู่ความขาวมาแต่ดั้งเติม เพิ่มเติมคือสูตรนี้ค่ะ ผสมมะขามเปียกกับน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ตก็ได้ค่ะ จากนั้นนำมาขัดเบาๆ ให้ทั่วใบหน้าสัก 3 – 5 นาทีแล้วล้างออก มะขามเปียกมีวิตามินซีสูงช่วยเพิ่มความกระจ่างใส ส่วนน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ตก็บำรุงผิวให้เนียนนุ่ม เพียงแค่นี้ก็ได้ผิวสวยแบบธรรมชาติแล้วค่ะ

3.หัวไชเท้า

อุดมไปด้วยวิตามินเอ ช่วยเรื่องการผลัดเซลล์ผิว ช่วยลดสิวและยังทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้นอีกด้วยค่ะ วิธีการใช้หัวไชเท้าเราจะไม่ใช้เดี่ยวๆ ค่ะ ควรนำไปผสมกับน้ำผึ้งหรือดินสอพองก่อนนำมาใช้บนใบหน้า และเฉพาะจุดที่เป็นฝ้า กระ จุดด่างดำ จากนั้นทิ้งเอาไว้ 15 นาทีแล้วล้างออก ทำสัปดาห์ละครั้งติดต่อกันนานๆ ก็ช่วยให้ผิวกระจ่างใสเนียนสวยได้แล้วค่ะ

4.ใบบัวบก

ไม่ได้แก้อาการช้ำในได้อย่างเดียวนะจ๊ะ ใบบัวบกมีสรรพคุณในการช่วยลดการอักเสบของผิว และยังช่วยสร้างคอลลาเจนและอิสลาสตินอีกด้วย มันช่วยทำให้ผิวดูเนียน ลดรอยฝ้ากระได้อีกด้วยค่ะ เราสามารถใช้ใบบัวบกรักษาสิว ฝ้า กระ ทำตามสูตรนี้ได้เลยค่ะ นำใบบัวบกมาล้างให้สะอาดก่อนปั่นให้ละเอียด แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 10 นาทีก่อนล้างออก ทำเป็นประจำ สิว ฝ้า กระก็จะจางลงได้ค่ะ

ถ้าใครมีสมุนไพรเหล่านี้อยู่ที่บ้าน รีบนำมาดูแลผิวด่วนๆ เลยค่ะ ถึงแม้ไม่มีฝ้า กระ จุดด่างดำ ก็นำมาบำรุงเพื่อความกระจ่างใสได้แน่นอน เริ่มบำรุงกันต้องแต่ตอนนี้เลยค่ะ


ดีท็อกซ์ผิวด้วยสครับ น้ำมันมะพร้าว + ขิง

ผิวของเราโดนมลภาวะที่เป็นพิษทุกวัน ถ้าไม่ดีท็อกซ์ออกไป ผิวก็จะสะสมเอาสารเคมีต่างๆ ไว้ เคล็ดลับการดีท็อกซ์ผิวสามารถทำได้ทั้งจากภายในคือการดื่มเครื่องดื่มที่ช่วยดีท็อกซ์ได้ และภายนอกคือผิวชั้นบนที่สะสมสารเคมี ฝุ่นละอองสกปรกเอาไว้ในรูขุมขน การสครับก็เป็นตัวช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดออก เป็นการช่วยดึงสิ่งสกปรกออกไปจากรูขุมขนด้วย ซึ่งสดสวยก็นำสูตรมาบอกต่อแล้วค่ะ




สิ่งที่ต้องเตรียม

  • น้ำมันมะพร้าว
  • ขิงอ่อน
  • น้ำตาลทราย

วิธีทำสครับ

  1. น้ำขิงอ่อนมาปั่นให้ละเอียด แล้วใส่น้ำมันมะพร้าวผสมลงไป
  2. จากนั้นก็ใส่น้ำตาลทรายให้แห้งพอดี อย่าให้ชุ่มเหลวเกินไป
  3. พอได้ส่วนผสมที่เข้ากันแล้วก็นำมาสครับผิวได้เลย
ข้อดีของสูตรนี้อย่างที่บอกว่าช่วยดีท็อกซ์ผิวได้ ขิงจะช่วยเรื่องการอักเสบน้ำมันมะพร้าวก็ทำให้ผิวเนียนนุ่ม เมื่อสครับแล้วสิ่งสกปรกตกค้างต่างๆ ก็จะหลุดออก เผยผิวใหม่ที่สะอาดเนียนใสสุขภาพดีค่ะ


6 วิธีช่วยให้ผมสวย เงา ดูมีน้ำหนัก

ไม่ยากเลยถ้าเราอยากจะมีเส้นผมที่เงางาม ลองทำตามคำแนะนำต่อไปนี้ก็จะช่วยให้คุณมีเส้นผมสวยสุขภาพดี ซึ่งมันช่วยทำให้บุคลิกเราดีขึ้นได้นะคะ




1.ทำความสะอาดหวี

หวีก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคได้ ซึ่งจะทำให้เส้นผมขาดหลุดร่วงได้ง่ายขึ้น หมั่นล้างหวีหวีผมอยู่เป็นประจำอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง โดยล้างด้วยน้ำผสมเบกกิ้งโซดาก็จะช่วยกำจัดสิ่งสกปรกออกจากหวีได้แล้วค่ะ

2.เล็มปลายผมทุก 2 เดือน

ปลายผมเสี่ยงต่อการแห้งเสียและแตกปลายง่าย หมั่นเล็มปลายผมทุก 2 เดือนเพื่อช่วยป้องกันผมแห้งแตกปลาย ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมอ่อนแอ แถมยังทำให้เกิดปัญหาผมหลุดร่วงได้อีกด้วย

3.งดหวีผมหลังสระ

หลังจากสระผมเสร็จใหม่ๆ ควรหลีกเลี่ยงการหวีผมไปก่อน เพราะช่วงที่เส้นผมเปียก เป็นช่วงที่เส้นผมของเราอ่อนแอที่สุด อาจขาดและหลุดร่วงได้ค่ะ

4.หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี

เคมีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดัดผม ยืดผมและทำสีผม ทำให้เส้นผมอ่อนแอจากสารเคมีได้ง่าย แต่ถ้าต้องทำก็แนะนำให้บำรุงผมด้วยทรีทเมนท์เป็นประจำนะคะ

5.งดใช้ความร้อน

อุปกรณ์ทำผมแบบไฟฟ้าจะทำให้เส้นผมได้รับความร้อนซึ่งจะเป็นการทำลายความชุ่มชื้นผมให้หมดไป แถมยังทำให้ผมไหม้ง่าย ทำให้เส้นผมแห้งเสียและแตกปลาย ถ้าต้องทำก็แนะนำให้ฉีดสเปรย์ป้องกันความร้อนก่อนทุกครั้งจะดีที่สุด

6.ปกป้องเส้นผมจากแสงแดด

ก่อนออกแดด เราควรปกป้องเส้นผมจากแสงแดดทุกครั้ง โดยควรฉีดสเปรย์ป้องกันแสงแดดสำหรับเส้นผม หรืออาจจะใส่หมวกปีกกว้าง กางร่ม เพื่อช่วยปกป้องเส้นผมและหนังศีรษะ

ทุกเคล็ดลับช่วยปกป้องเส้นผมให้สวยสุขภาพดี ใครอยากมีผมสวยน่าสัมผัสแนะนำให้ลองทำตามดูเลยนะคะ


ดื่มน้ำกระชายผสมน้ำผึ้งมะนาว แก้กระดูกเสื่อมได้จริงหรือ?

ทำเอาเหล่าผู้ป่วยโรคกระดูกเสื่อมมีความหวังขึ้นทันใด หลังจากที่มีการแชร์เรื่องราวความมหัศจรรย์ของน้ำกระชายผ่านทางโลกโซเชี่ยล โดยอ้างว่าเป็นสูตรธรรมชาติบำบัด ที่จะสามารถช่วยให้ร่างกายสร้างมวลกระดูกใหม่ขึ้นมา
แล้วไปเสริมสร้างกระดูกที่เสื่อมอยู่ให้แน่นเหมือนเดิม ว่าแต่งานนี้ชัวร์หรือมั่วกันนะ?
สำหรับเรื่องที่แชร์กันนี้ เป็นเรื่องราวของศัลยแพทย์รายหนึ่งที่อ้างว่าเพื่อนป่วยด้วยโรคกระดูกเสื่อมเฉียบพลัน แต่หายได้ด้วยการดื่มน้ำกระชาย โดยสูตรดังกล่าวให้นำกระชายล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำมาตำ โดยใช้ครกหินอ่างศิลา พอกระชายแหลก ก็เติมน้ำสะอาดลงไป 2 แก้ว จากนั้นนำมากรองด้วยกระชอนไม้ที่ปูรองด้วยผ้าขาวบาง จนได้หัวเชื้อ มาผสมกับ น้ำผึ้ง และน้ำมะนาว ดื่มครั้งละครึ่งแก้ว เช้า-เย็น

โดยหลังจากดื่มไปได้ประมาณ 1 เดือน พอไปตรวจสุขภาพใหม่ หมอที่โรงพยาบาลถึงกับตกใจว่าทำไมมวลกระดูกถึงแน่นขนาดนี้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพื่อนของคุณหมอคนดังกล่าวก็กินน้ำกระชายเป็นเครื่องดื่มประจำตัว ประจำบ้าน แล้วไม่เคยป่วยด้วยโรคกระดูกเสื่อมอีกเลย

งานนี้ขอบอกว่าไม่จริง!

เพราะสารสำคัญที่ทำให้กระดูกแข็งแรง คือ แคลเซียม ซึ่งในกระชายมีแคลเซียมประมาณ 2-3% ของปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการต่อวัน และแคลเซียมก็ไม่ได้ละลายในน้ำ นอกจากนี้การรับประทานเครื่องดื่มตามสูตรดังกล่าวต่อเนื่องกันเป็นเวลานานอาจมีผลต่อตับ ทั้งนี้ อาการกระดูกเสื่อมเป็นอาการที่เกิดได้กับทุกคน โดยอายุที่มากขึ้นอาจเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้มวลกระดูกลดลง

ชะลอกระดูกเสื่อมได้ 4 วิธีนี้

  1. การเสริมสร้างมวลกระดูกให้มีค่าความหนาแน่นสูงสุด ในช่วงก่อนอายุ 30 ปีเพื่อสะสมต้นทุนให้กระดูกแข็งแรงและมีคุณภาพที่ดีในวัยผู้ใหญ่ต่อไป โดยรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เช่น ดื่มนม กินปลาเล็กปลาน้อย ผักใบเขียว
  2. อย่าปล่อยให้อ้วนหรือน้ำหนักเกิน รวมถึงอย่านั่งยอง รวมถึงงอเข่าเกิน 90 องศา
  3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ๆ ละ 1 ชั่วโมง สำหรับผู้สูงอายุ ควรออกกำลังกายที่ลงน้ำหนัก เช่น เดินไกลๆ วิ่งเหยาะ รำมวยจีน เต้นรำ เพื่อป้องกันการสูญเสียกระดูก
  4. ระมัดระวังอย่าให้มีอุบัติเหตุที่เข่า โดยเฉพาะผู้สูงอายุ การหกล้มทำให้กระดูกหักได้
ทั้งนี้ การกินอาหารที่มีโซเดียมสูง การดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ จะทำให้เกิดการสูญเสียแคลเซียมมากขึ้น ฉะนั้น ถ้าควรหลีกเลี่ยงนะคะ

www.facebook.com/jeawshop

ประโยชน์ที่เราจะได้ หากทานมื้อเย็นเร็วกว่าเดิม



การทานอาหารเป็นเรื่องที่คุณควรต้องให้ความสำคัญ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนมาก ยิ่งหากใครมีระบบการทานอาหารที่ดีจะยิ่งช่วยทำให้สุขภาพดีมากขึ้นได้อย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นวันนี้เรามี 4 ประโยชน์ที่คุณจะได้รับหากคุณรู้จักปรับตัวมาทานอาหารเย็นเร็วกว่าเดิมมาฝาก

ช่วยลดน้ำหนักได้

การทานอาหารเย็นเร็วขึ้นเป็นการช่วยทำให้ร่างกายนั้นมีเวลาในการเบิร์นแคลอรีให้หมดได้มากขึ้นหรืออย่างน้อยก็สามารถเบิร์นอาหารที่เพิ่งทานเข้าไปได้มากเท่าที่จะเป็นไปได้ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเป็นการช่วยทำให้ร่างกายไม่เกิดการสะสมไขมันภายในร่างกาย

แก้อาการนอนไม่หลับ

สำหรับใครที่ชอบทานอาหารช่วงหัวค่ำหรือทานตอนดึกไปเลยส่วนใหญ่มักจะเจอปัญหาที่ว่านอนไม่หลับเป็นประจำ เนื่องจาก เมื่อทานอาหารช่วงใกล้นอนอาหารอาจจะยังไม่ทันย่อยเสร็จระบบเผาผลาญเองเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำงานเกินเวลาได้แล้วทีนี้จะนอนหลับได้เช่นไรกัน คุณว่าจริงหรือไม่!!! ดังนั้นปรับให้ทานเร็วขึ้นได้จะสามารถช่วยได้

ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกรดไหลย้อน

น่าจะพอทราบกันดีกว่าพฤติกรรมประเภททานแล้วนอนนี่ละที่ช่างเป็นอะไรที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคกรดไหลย้อนเป็นอย่างยิ่ง หากใครเป็นโรคนี้บอกเลยว่าทรมานมากถึงมากที่สุด เนื่องจาก หากคุณนอนทั้งที่กระเพาะอาหารนั้นเกิดการย่อยอาหารไม่หมดนั่นอาจทำให้กรดที่อยู่ภายในกระเพาะไหลกลับมาที่บริเวณของหลอดอาหารได้อีกรอบซึ่งนั่นย่อมไม่ดีต่อตัวคุณเองแน่นอน ดังนั้นหากคิดจะทานอาหารเย็นควรทานก่อนนอนประมาณ 2 หรือ 3 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำถึงจะกำลังดี

สามารถเพิ่มความกระฉับกระเฉงให้เกิดขึ้นได้

อาหารที่เราทานเข้าไปย่อมต้องถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานเพื่อใช้ในการทำกิจกรรมตลอดทั้งวัน ดังนั้นหากคุณทานอาหารเย็นไม่ห่างจากมื้อเที่ยงเท่าใด (ทานแบบห่างกันไม่เกิน 4 ชั่วโมง) ระบบต่าง ๆ ก็จะสามารถทำงานได้เต็มพิกัดตลอดเวลาแต่ขอบอกว่าอย่าทานเลทมากเกินไป เพราะ การทานเลทมากจะส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในสภาวะต่ำลงอาจเกิดการอ่อนเพลียได้ง่ายและส่งผลทำให้รู้สึกหิวหนักตามมานั่นเอง

เรื่องของการทานอาหารโดยเฉพาะอาหารเย็นนั้นเป็นสิ่งที่คุณควรต้องรู้จักที่จะจัดสรรเวลาให้ดี หากคุณทานเลทมากไปจนถึงเวลาดึกดื่นซี่งนั่นเป็นช่วงที่ใกล้ต้องเข้านอนแล้วย่อมมีแต่ผลเสียตามมามากมายหลายประการ ดังนั้นการทานอาหารเย็นให้เร็วขึ้นอละห่างกับช่วงเวลาการนอนที่เหมาะสมจึงเป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด


โซ้ยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังไง ไม่ให้เสียสุขภาพ

เอาจริงๆ แล้วอาหารประเภทบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั้นอาจไม่อยู่ในลิสต์ของอาหารเพื่อสุขภาพ แต่ในช่วงเวลาที่รีบเร่ง หรือแม้แต่ช่วงเวลาจำเป็น หรืออยากจริงๆ มันก็เลี่ยงได้ยาก แต่สำหรับสายเฮลท์ตี้แล้ว เฮียมีทางเลือกดีๆ ที่จะทำให้เพื่อนๆ ได้โซ้ยบะหมี่แบบไม่เสียสุขภาพและอาจได้สุขภาพที่ดีด้วย ไปดูกันครับ!




1.ต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างถูกต้อง

เทบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในน้ำและต้มจนเดือด เมื่อบะหมี่สุกแล้ว ให้เทน้ำที่ต้มซึ่งมีส่วนผสมของ Wax ผสมผงชูรสซึ่งเป็นสารพิษทิ้งไป จากนั้นจึงต้มน้ำใหม่ให้เดือดอีกครั้ง ใส่เส้นบะหมี่ที่ต้มไว้แล้วลงไป ปิดไฟ ใส่เครื่องปรุงขณะน้ำยังร้อน เพื่อป้องกันผงชูรสในเครื่องปรุงกลายเป็นสารพิษ สำหรับบะหมี่แห้งเราสามารถใส่เครื่องปรุงได้ทันที เมื่อช้อนเส้นขึ้นจากน้ำเดือดแล้ว
สำหรับวิธีต้มแบบใส่บะหมี่ในน้ำ พร้อมเครื่องปรุงและต้มประมาณ 3 นาที จนเดือด เป็นวิธีที่ผิดเพราะจะทำเส้นบะหมี่สำเร็จรูปที่เคลือบด้วย Wax ผสมผงชูรสกลายสภาพเป็นสารพิษ ซึ่งแบบนี้ร่ายกายต้องใช้เวลา 4-5 วันในการขับออกจากร่างกายเลยทีเดียว

2.เลือกซื้ออย่างถูกหลัก

ตอนเลือกซื้อควรสังเกตบนซองว่า มีสารไอโอดีน ธาตุเหล็ก และวิตามินเอ อยู่ด้วย จากนั้นเมื่อนำมาปรุงจะต้องเติมไข่ เนื้อสัตว์ และผัก ลงไปทุกครั้ง ฉีกซองเครื่องปรุงใส่ลงในบะหมี่ ใส่น้ำให้พอดี ซดน้ำให้ได้มากที่สุด หมดชามยิ่งดี เพราะเท่ากับว่า จะได้รับสารอาหาร 3 ชนิดเข้าสู่ร่างกายอย่างเต็มที่

3.ทำตามคำแนะนำของ อย.

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แนะให้ทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้ปลอดภัยและได้ประโยชน์คือ ควรลดเครื่องปรุงให้เหลือเพียงครึ่งหนึ่งหรือน้อยกว่านั้น จากนั้นเติมเนื้อสัตว์และผักลงไปเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารเพิ่มมากขึ้น ที่สำคัญไม่ควรทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปติดต่อกันประจำเป็นเวลานาน เพราะร่างกายจะเสี่ยงต่อการได้รับโซเดียมมากเกินไปจนเป็นสาเหตุของความดันโลหิตสูง

ลองนำ 3 ข้อนี้ไปปฏิบัติตามรับรองได้ผลดีต่อสุขภาพแน่นอน!

www.konphenfai.com

บำรุงขนตาให้สวยแบบไม่ง้อขนตาปลอม

สำหรับสาวๆ ที่ชอบความเป็นธรรมชาติ ไม่ชอบติดขนตาปลอม แต่ขนตาก็บางจนแต่งหน้าได้ยาก เรามาดูวิธีง่ายๆ ที่สามารถเพิ่มความยาวของขนตาให้ยาวขึ้นได้กันค่ะ มีหลากหลายวิธีให้เลือกเลยค่ะ



แปรงขนตา

การแปรงขนตามีช่วยการในไหลเวียนโลหิตและกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นขน ขนตาของเราก็จะยาวไวขึ้น ใช้แปรงล้างสะอาดจากมาสคาร่าแท่งเก่าก็ได้ หยดวิตามินอีไลงบนแปรง และแปรงข้างละประมาณ 3-5 ครั้งค่ะ

ทาด้วยน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันมะกอก

น้ำมันธรรมชาติเหล่านี้มีกรดไขมันที่ช่วยทำให้ขนตาแข็งแรง ใส่น้ำมันลงบนแปรงหรือนิ้วสะอาดแล้วทาลงบนขนตาก่อนนอ

บำรุงด้วยปิโตรเลียมเจล

ทาปิโตรเลียมเจบเล็กน้อยด้วยแปรงหรือนิ้วก่อนนอน และล้างออกในตอนเช้าหลังตื่นนอน จะช่วยบำรุงขนตาให้แข็งแรงและเงาสวยได้ค่ะ

ชาเขียว

ชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามิน วิธีทำนั้นไม่ใช่การดื่ม แต่เป็นการนำชาเขียวที่ชงแล้ว ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วนำสำลีจุ่มและแปะไว้ที่ขนตาค่ะ

ว่านหางจระเข้

นำว่านหางจระเข้สดมาบีบน้ำไม่กี่หยด จากนั้นทาบนขนตาช่วงก่อนนอน และล้างออกในตอนเช้า ช่วยบำรุงขนตาให้แข็งแรงได้ค่ะ

นวด

เพียงทาน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันมะพร้าวลงในนิ้วมือสักสองสามหยด นวดเปลือกตาและขนตาเป็นเวลา 5 นาทีก็ช่วยได้แล้วนะคะ

ถูกใจวิธีไหนแนะนำให้สาวๆ ทำเป็นประจำทุกวัน แล้วขนตาก็จะยาวสวยค่ะ


ไม่อยากพลาดแผลลุกลามเป็นคีลอยด์ ต้องรู้จักป้องกัน!

ขึ้นชื่อว่าแผลย่อมเป็นอะไรที่ไม่สวยงามและเป็นสิ่งที่หลายคนอยากปกปิด โดยเฉพาะเมื่อแผลนั้นมีขนาดใหญ่นูนไม่น่าดู แต่เพราะแผลเป็นมักมาพร้อมอุบัติเหตุหรือโรคที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเพื่อป้องกันการลุกลามของแผลเล็กๆ ที่อาจขยายตัวเป็นคีลอยด์ จึงควรดูแลแผลเป็นเพื่อป้องกันการเกิดคีรอยด์อย่างถูกวิธี
บาดแผลที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ว่าขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ ก็มีโอกาสเป็นแผลเป็น หรือลุกลามจนเป็นคีลอยด์ได้เหมือนกัน ซึ่งขนาดของแผลสดก็ไม่จำเป็นต้องเท่ากับขนาดแผลคีลอยด์ที่จะเกิดขึ้น
สิ่งสำคัญคือ การดูแลรักษาแผลสด หากดูแลไม่ดีหรือใช้วิธีผิดๆ จากแผลสดเล็กๆ อาจกลายเป็นแผลเป็นได้หรือขยายใหญ่ได้ สำหรับการดูแลแผลเป็นและป้องกันไม่ให้แผลเป็นลุกลามกลายเป็นคีลอยด์ มีดังนี้

  1. หลีกเลี่ยงการทำแผลโดยใช้แอลกอฮอล์ทาลงแผลสด เพราะเป็นการทำลายแผล ทำให้เนื้อเยื่อตาย แผลจะหายช้า ควรล้างหรือเช็ดทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาด แล้วปิดแผลด้วยผ้าพันแผลหรือผ้าก๊อซ
  2. เมื่อเกิดแผลขึ้นแล้ว ควรดูแลรักษาความสะอาดของแผลอย่างเหมาะสม เพื่อให้แผลหายเร็วที่สุด เพราะยิ่งแผลหายเร็วเท่าใดโอกาสการเกิดแผลเป็นก็จะน้อยลงหรือเบาบางลงด้วย
  3. ระวังอย่าให้แผลโดนแดด เพราะแดดจะทำลายเนื้อเยื่อและสร้างเม็ดสี ทำให้แผลเป็นรอยคล้ำดำกลังจากนั้นได้ อาจป้องกันแผลด้วยผ้าพันแผล พลาสเตอร์ หรือทาครีมกันแดด
  4. ลดการสัมผัส เพราะการแตะแผลบ่อยๆ หรือปล่อยให้เสื้อผ้าเสียดสีกับแผล จะทำให้แผลไม่สมานกัน
  5. พักผ่อนให้มากๆ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ การขาดวิตามินซี และธาตุสังกะสี จากการศึกษาพบว่าแผลจะหายได้เร็วขึ้นเมื่ออยู่ในอุณหภูมิอบอุ่น
  6. หลีกเลี่ยงการสัก เจาะร่างกาย หรือการผ่าตัดศัลยกรรมใดๆ เพราะอาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดคีลอยด์ได้
  7. ช่วงที่แผลเกิดขึ้นภายใน 3 เดือน พอแผลเริ่มปิดสนิท ต้องรีบรักษาด้วยผลิตภัณฑ์ดูแลรอยแผลเป็นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดคีลอยด์
  8. ใช้ครีมอิมิควิโมดทาหลังการผ่าตัดใดๆ เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นขึ้นหรือลดโอกาสการเกิดคีลอยด์
เมื่อเกิดแผลเป็นนูนแล้ว ควรรีบพบแพทย์แต่เนิ่นๆ เพราะโอกาสควบคุมโรคได้สูงขึ้น เมื่อแผลเป็นนูนยังมีขนาดเล็ก นอกจากนี้หากต้องผ่าตัด ควรแจ้งแพทย์ล่วงหน้าถึงประวัติการเคยเป็นแผลเป็นนูนของคุณ เพราะแพทย์อาจให้การรักษาเพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นตั้งแต่ขณะผ่าตัด ด้วยวิธีการต่างๆ
ฉะนั้นหากเรารู้จักวิธีการดูแลรักษาภายหลังจากที่ได้รับแผลเป็นใหม่ๆ ก็จะสามารถป้องกันไม่ให้แผลเป็นนั้นนูนเกินหรือเป็นคีลอยด์ได้ในอนาคตค่ะ


เจาะแก้ม “ทำลักยิ้ม” ระวัง ติดเชื้อปากเบี้ยวหน้าผิดรูป

หลายครั้งทีเดียวที่เหล่าวัยรุ่น โดยเฉพาะสาวๆ วัยใส ยอมเจ็บ ยอมเสี่ยง เพื่อความสวยหรือตามกระแสแฟชั่นต่างๆ ล่าสุด กับแฟชั่นการเจาะแก้มทำลักยิ้ม แม้อาจได้มาซึ่งรอยลักยิ้มบนใบหน้า แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่า บนใบหน้าเต็มไปด้วยเส้นประสาท และกล้ามเนื้อ มีสิทธิปากเบี้ยว ใบหน้าผิดรูป และติดเชื้อได้ค่ะ


สำหรับลักษณะการเจาะแก้มทำลักยิ้มที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นอยู่ในขณะนี้นั้น จะเปิดร้านกันกลางตลาดนัดกลางคืน โดยช่างจะนัดลูกค้าเข้ามาที่ร้าน ซึ่งการเจาะแก้มนี้ทำกันแบบเปิดเผย ใช้พื้นที่ภายในร้านล็อกเล็กๆ นั่งเก้าอี้ยองๆ ให้ทายาทิ้งไว้บนแก้มของลูกค้าสักพัก แล้วเช็ดออก และมาร์คจุดลักยิ้ม
จากนั้นช่างจะให้อมแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อในปาก ก่อนลงเข็มเจาะแก้มทีละข้างทะลุเข้าไปในช่องปาก พอเจาะแก้มสำเร็จจะใส่จิวลงไปในรู้ทั้งสองข้าง ติดไว้ประมาณ 1-2 เดือน แล้วนัดมาถอดจิวออก ซึ่งบางรายก็ได้ลักยิ้มสมใจ แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่มีปัญหา อาทิ จิวจมแก้ม เนื่องจากแผลที่เจาะบวม, แผลอักเสบ มีหนอง
ทั้งนี้ การเจาะเข้าไปที่แก้ม โดยคนไม่ใช่หมอ ไม่ใช่พยาบาล เสี่ยงอันตราย เพราะบนใบหน้าเต็มไปด้วยเส้นประสาท และกล้ามเนื้อ มีสิทธิปากเบี้ยว หน้าเบี้ยว ใบหน้าผิดรูป อาจนำไปสู่โรคติดเชื้อ และโรคติดต่อทางเลือดได้ นอกจากนี้ยังเสี่ยงอันตรายจากอาการอักเสบติดเชื้อลุกลาม เครื่องมือ และอุปกรณ์ที่อาจปนเปื้อนเลือดของคนอื่นติดโรคมา อีกทั้งอาจเสียโฉม ไม่ได้ใบหน้าสวยงามตามธรรมชาติกลับมา

ผลข้างเคียงที่คุณยังไม่รู้จากการเจาะภายในช่องปาก

  1. อาการเจ็บปวดและอาการบวม ถือเป็นอาการปกติของการเจาะภายในช่องปาก
  2. ภาวะเลือดไหลไม่หยุด หากเส้นเลือดถูกเจาะทะลุด้วยเข็ม อาจทำให้เลือดหยุดไหลได้ยาก เสียเลือดมาก
  3. การบาดเจ็บของเหงือก จิวไม่เพียงแต่จะไปทำลายเนื้อเยื่ออ่อนของเหงือก แต่ยังทำให้เกิดอาการเหงือกร่นได้อีกด้วย นำไปสู่ความเสี่ยงที่จะเกิดฟันผุที่รากฟัน และโรคเยื่อหุ้มฟันอักเสบได้อีกด้วย
  4. การเข้ารบกวนกระบวนการทำงานปกติภายในช่องปาก การมีเครื่องประดับอยู่ในปากจะทำให้ร่างกายผลิตน้ำลายออกมามากกว่าปกติ และยังทำให้เกิดปัญหาในการเคี้ยวและกลืนอาหารอีกด้วย
  5. การติดเชื้อ ในปากของคนเรามีเชื้อแบคทีเรียอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถนำไปสู่การติดเชื้อหลังการเจาะได้ การใส่จิวเวอรี่ไว้ในปากยิ่งนับเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยงในการติดเชื้อให้มากขึ้น
การเจาะแก้มลักษณะดังกล่าวถือเป็นการเจาะภายในช่องปาก จึงมีความเสี่ยงต่อสุขภาพมากกว่าการเจาะหู ก่อนที่จะทำการเจาะส่วนใดก็ตามภายในช่องปาก ควรขอคำปรึกษาจากทันตแพทย์ก่อนนะคะ


อันตราย! แฟชั่น “ขนตาเรืองแสง” เสี่ยงต้อตา-จอตาเสื่อม

สร้างความฮือฮาให้สาวสายปาร์ตี้ได้ไม่น้อยสำหรับแฟชั่น “ขนตาเรืองแสง” หรือขนตาปลอมที่เรืองแสงได้ในที่มืดนั่นเอง เรียกว่าแม้ไฟดับก็ไม่เป็นอุปสรรคในการเปล่งประกายอยู่บนฟลอร์แดนซ์ แม้แฟชั่นจะชวนว้าวแต่ก็มาพร้อมความเสี่ยง เพราะดวงตาเป็นอวัยวะที่บอบบางอาจนำมาซึ่งผลกระทบต่อสุขภาพได้นะคะ
จากกรณีการแชร์รูปและวิดีโอผ่านโซเซียลมีเดียถึงแฟชั่นที่มีมาสักระยะแล้วและมีการพัฒนามาเรื่อยๆ โดยแฟชั่นสุดล้ำที่ว่าคือการนำเอาหลอดไฟแอลอีดี (LED) มาติดบริเวณใต้ดวงตาและบนเปลือกตาเพื่อความสวยงาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.นพ.นริศ กิจณรงค์ อาจารย์ประจำภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า…
จากที่ดูในคลิปจะพบว่ามี 2 แบบ คือ แบบที่ติดใต้ตาและแบบที่ติดบนเปลือกตา ซึ่งตามปกติหลอดแอลอีดีจะไม่ทำให้เกิดความร้อนมาก แต่แบบที่ติดใต้ตาล่างอาจจะทำให้แสงเข้าตาได้ ส่วนแบบที่ติดเปลือกตาบนแสงจะไม่เข้าตา อย่างไรก็ตาม ตามปกติแสงจากหลอดไฟหรือแสงจากสิ่งต่างๆ จะมีรังสีอัลตราไวโอเลตซึ่งแม้ไม่เห็นแสง ก็จะมีรังสีอัลตราไวโอเลตเป็นคลื่นความยาวอยู่ ซึ่งเป็นอันตราย

การโดนรังสีดังกล่าวในระยะยาวจะทำให้เกิดต้อเนื้อ ต้อลม ต้อกระจก จอตาเสื่อมได้ หากติดเมื่อเป็นวัยรุ่นยังไม่เห็นผลเสียตอนนี้ แต่พออายุมากขึ้นก็จะเห็นผลเสียได้ชัดเจน และความร้อนที่เกิดขึ้นจากหลอดไฟจะทำให้น้ำตาระเหย ตาแห้ง แสบ เคืองตาได้ น้ำหนักจากหลอดไฟเองอาจจะทำให้เมื่อยล้าดวงตา นอกจากนี้ รอบดวงตาเป็นบริเวณที่ผิวบอบบางที่สุดแม้กระทั่งการทาครีมต่างๆ ก็ควรเว้นรอบดวงตาไว้
ดังนั้น การโดนความร้อนมากๆ จะทำให้ผิวเหี่ยวย่นได้ ตามปกติแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุจะแนะนำให้ปกป้องดวงตาโดยการป้องกันแสงต่างๆ อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด แสงจากสิ่งต่างๆ จึงควรระวังการใช้อุปกรณ์เช่นนี้ เพราะถือว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ เราไม่ทราบว่ามีอันตรายมากน้อยขนาดไหน เพราะอาจจะเป็นโรคต่างๆ ที่กล่าวไปข้างต้นในภายหลังเมื่ออายุมากขึ้นได้
อย่ามัวตามเทรนด์แฟชั่น จนลืมคำนึงถึงความปลอดภัยต่อสุขภาพนะคะ ยิ่งดวงตาเป็นอวัยวะที่บอบบางมากๆ ทางที่ดีแนะนำว่าไม่ควรเสี่ยงค่ะ