7 ข้อน่ารู้ เกี่ยวกับกรุ๊ปเลือด พร้อมแนะนำวิธีดูแลตัวเองให้เหมาะสมกับกรุ๊ปเลือด


7 ข้อน่ารู้ เกี่ยวกับกรุ๊ปเลือด พร้อมแนะนำวิธีดูแลตัวเองให้เหมาะสมกับกรุ๊ปเลือด

อาจมีคนจำนวนไม่มากนักที่จะรู้ว่ากรุ๊ปเลือดของพวกเขานั้นมีความสำคัญและมีผลกระทบต่อชีวิตอย่างมาก วันนี้เราจึงจะมานำเสนอ Fact 7 ข้อของหมู่เลือดต่างๆ ที่น่าสนใจ และข้อเท็จจริงเหล่านี้ก็จะช่วยสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของคุณได้มากขื้น!

1. ทำความรู้จักหมู่เลือดก็สามารถช่วยชีวิตคุณได้
การสละเวลาเพื่อทำความรู้จักและศึกษากรุ๊ปเลือดของตนเองนั้นนับได้ว่ามีความจำเป็นมากทีเดียว ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุอย่างเช่น รถชน คุณหมอจำเป็นต้องรักษาอย่างเร่งด่วน และถ้าหากคุณไม่รู้แม้แต่ข้อมูลของตัวเอง พวกเขาก็ไม่สามารถช่วยคุณได้หรอกนะ และถ้าหากผลการให้เลือดปรากฏว่าไม่สำเร็จ คนไข้จะตกอยู่ในอันตรายได้อย่างแน่นอน 

2. กรุ๊ปเลือดต่าง ก็ต้องการโภชนาการต่างกัน 
Peter J. D'Adamo หมอรักษาโรคโดยไม่ใช้ยาได้กล่าวว่า มนุษย์ทุกผู้ทุกคนล้วนมีหมู่เลือดที่ต่างกัน พวกเขาจึงต้องการโภชนาการที่แตกต่างกันด้วย ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มคนที่มีกรุ๊ปเลือด O คุณควรบริโภคโปรตีน เนื้อสัตว์ สัตว์ปีก ปลา และผักเป็นหลัก มิฉะนั้นร่างกายของคุณอาจประสบปัญหา เช่น อาหารไม่ย่อย และอาการปวดท้อง 

ในกลุ่มคนที่มีกรุ๊ปเลือด A จะมีปัญหาด้านระบบภูมิคุ้มกัน พวกเขาจึงควรรับประทานผลไม้ตระกูลส้ม หรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว บล็อคโคลี ผักโขม และกระเทียม นอกจากนี้ มนุษย์กรุ๊ปเลือด A ยังควรหลีกเลี่ยงไขมัน น้ำมันพืช และแอลกอฮอล์อีกด้วย

มาต่อกันที่ กรุ๊ปเลือด AB สำหรับผู้ที่มีเลือดกรุ๊ปนี้ คุณเป็นพวกที่มีกรดในกระเพาะอาหารไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงควรหาหนทางเพื่อกระตุ้นการทำงานของกระเพาะ และการย่อยอาหารให้ดียิ่งขึ้น เพียงแค่หันมาบริโภคน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ และน้ำผึ้งมานูก้า ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นราชินีแห่งน้ำผึ้ง ที่สกัดมาจากดอกมานูก้า ประเทศนิวซีแลนด์ ดังนั้นมั่นใจได้เลยว่าคุณจะปลอดภัยจากสารพิษ อีกทั้งยังได้รสสัมผัสที่อ่อนนุ่ม กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ และประโยชน์อีกมากมาย 

3. ตรวจสอบกรุ๊ปเลือดเมื่อคุณรู้สึกเครียดหรือกังวล 
สำหรับผู้ที่มีเลือดกรุ๊ป O นั้นมีแนวโน้มในการระเบิดอารมณ์โกรธออกมาได้อย่างง่ายดาย แต่ในกรณีของผู้ที่มีเลือดกรุ๊ป A คุณจะผลิตฮอร์โมนที่ชื่อว่า คอร์ติซอล ออกมาจำนวนมาก ระดับความเครียดของคุณก็จะสูงตามไปด้วย ดังนั้นเมื่อใดที่คุณรู้สึกเครียด หรือกังวลตลอดเวลา คงถึงเวลาแล้วที่คุณควรจะเช็คกรุ๊ปเลือดของตัวเองว่าเป็นอย่างไร 

4. กรุ๊ปเลือดกับมะเร็ง 
บางคนนั้นมีแนวโน้มในการเป็นโรคมะเร็งสูงกว่าคนทั่วไป ว่าแต่ว่ามันจะเป็นเช่นนั้นได้ยังไงเมื่อเราทุกคนล้วนไม่มีอะไรแตกต่างกันหากมองดูจากภายนอก ทว่าสิ่งที่แตกต่างกันอย่างแน่นอนก็คือกรุ๊ปเลือด นักวิจัยได้อ้างว่ากรุ๊ปเลือดบางกลุ่มนั้นมีความเกี่ยวพันกับโรคมะเร็งมากกว่ากรุ๊ปเลือดอื่นๆ 

การวิจัยดังกล่าวนี้มีการศึกษามาหลายต่อหลายครั้งซึ่งระบุว่า เลือดกรุ๊ป O มีความเสี่ยง 20 % ในการเผชิญกับโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร และยังมีโอกาสในการเกิดแผลในกระเพาะอาหารสูงเช่นเดียวกัน แต่ถ้าหากคุณมีเลือดกรุ๊ป A แล้วล่ะก็ คุณอาจจะต้องประสบปัญหาเกี่ยวกับระดับไขมันไม่ดีในเลือดที่มีมากเกินไป หรือ Low-Density Lipoprotein โดยเจ้าไขมันแย่ชนิดนี้จะมาจากอาหารจำพวกไขมันอิ่มตัว และอาหารจำพวกไขมันทรานส์ เช่น ขนมอบ ขนมปังที่มีส่วนผสมของมาการีน ครีมเทียม อาหารทอด และขนมกรุบกรอบต่างๆ 

5. กรุ๊ปเลือดส่งผลกระทบต่อไขมันรอบเอว
ความโชคร้ายมาเยือนมนุษย์กรุ๊ป A แล้วล่ะค่ะ เพราะร่างกายของคุณจะมีปฏิกิริยาที่ไม่ดีกับอาหารจำพวก สัตว์ที่มีเปลือก ผลิตภัณฑ์จากนม และเนื้อสัตว์ ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดท้องอืด กรดไหลย้อน อาหารไม่ย่อย และมีแนวโน้มทีจะเป็นโรคเบาหวาน นอกจากนี้เจ้าพวกไขมันรอบเอวทั้งหลายก็จะไม่จากคุณไปอย่างง่ายๆ แน่นอน 

6. กรุ๊ปเลือดมีอิทธิพลต่อบุคลิก 
ข้อเท็จจริงข้อนี้เป็นที่รับรู้กันในวงการแพทย์แผนโบราณมาอย่างยาวนานว่ากรุ๊ปเลือดมีอิทธิพลต่อบุคลิก แม้แต่ผู้ที่มีเลือดกรุ๊ปเดียวกันก็ยังมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันได้ 

ยกตัวอย่างกันง่ายๆ ก็คือมนุษย์กรุ๊ปเลือด O มักจะขี้กังวล แต่สามารถปรับตัวได้ดีและมีระเบียบแบบแผน มนุษย์กรุ๊ปเลือด AB เป็นคนเข้มแข็ง มีเหตุมีผล และเป็นพวกไม่คิดมาก มนุษย์กรุ๊ปเลือด B ชอบเฮฮา สนุกสนาน มนุษยสัมพันธ์ดี และสามารถหยืดหยุ่นได้ในหลายๆ กรณี ส่วนมนุษย์กรุ๊ปเลือด A นั้นชอบเอาเรื่องของคนอื่นมาคิดให้ปวดหัว หรือพูดง่ายๆก็คือ มักจะแคร์และเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอยู่เสมอ

7. การแบ่งกลุ่มเลือดมีผลกระทบต่อทารกในครรภ์ 
โดยปกติแล้ว หมู่เลือดจะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มคือ A B AB และ O แต่นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งออกได้เป็น หมู่โลหิตระบบอาร์เอชบวก (Rh Positive) และหมู่โลหิตระบบอาร์เอชลบ (Rh Negative) 

ผู้คนจำนวนมากล้วนมีหมู่โลหิตเป็นระบบอาร์เอชบวก (Rh Positive) หากคู่สามีภรรยามีกลุ่มเลือดที่ตรงกันก็จะไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าฝ่ายชายมีหมู่เลือดระบบ Rh Positive และฝ่ายหญิงมีหมู่เลือดระบบ Rh Negative ทารกในครรภ์จะตกอยู่ในความเสี่ยงเป็นอย่างมาก และในบางกรณีอาจถึงตายได้เลยทีเดียว 






เทคนิคแต่งตาให้สวยเพอร์เฟค


ว่าด้วยเรื่องของการแต่งตา ไหนจะอายไลเนอร์ อายแชโดว์ แปรงเกลี่ย มันช่างเป็นอะไรที่เยอะ สาวๆ ทราบกันดีกว่า การแต่งตา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่เราก็ยังคงพยายามกันอย่างเต็มที่ เพื่อให้ได้ความงามที่สมบูรณ์แบบ
แต่ทั้งนี้ หากเราสามารถรู้เทคนิค และทำการถอดรหัสการแต่งตาได้ รับรองว่า การแต่งตา จะไม่ใช้เรื่องใหญ่ ที่ทำให้คุณต้องเสียเวลามากมายไปในทุกๆ เช้าอีกต่อไป เทคนิคที่จะให้เรื่องนี้เป็นเรื่องง่าย มีดังนี้

- ไฮไลท์ ในจุดที่เรียกว่า Brow bone ซึ่งอยู่บริเวณด้านล่างของคิ้ว เลยจุดกึ่งกลางคิ้วมาทางด้านหน้าสักเล็กน้อย และยาวไปตลอดถึงหางคิ้ว การไฮไลท์ในจุดนี้ จะทำให้ดวงตาเด่น เป็นการเปิดดวงตา อาจจะใช้สีด้านหรือสีที่มีประกายก็ได้แต่ให้เลือกสีอ่อน

บริเวณเปลือกตา หรือ Lid จุดนี้ ให้เลือกสีหลัก ที่คุณต้องการจะใช้ บางคนอาจจะใช้อายไลน์เนอร์ เขียนบริเวณนี้ได้เช่นกัน บางคนมีพื้นที่บริเวณนี้มาก มี บางคนก็มีน้อย ซึ่งแต่ละคนจะแตกต่างกันไป

บริเวณรอยพับของตา หรือ Crease เป็นบริเวณที่อยู่ตรงกลางระหว่าง Brow bone และ Lid จุดนี้ ให้ใช้สีเข้ม จะทำให้ดวงตาดูมีมิติ

บริเวณหางตา หรือ Outer V จะเป็นบริเวณมุมหางตา สามารถใช้อายไลน์เนอร์ หรืออายแชโดว์สีเข้มได้ ทาลงไปให้เป็นรูปตัว V และเบลนเข้าหากัน จนเป็นรูป C เพื่อให้ดูไม่แข็ง

บริเวณของตาด้านบน หรือ Upper Lashline จุดนี้ สามารถใช้ได้ทั้งอายไลน์เนอร์ และอายแชโดว์ หรือบางคนก็ใช้มาสก์คาร่า
บริเวณขอบตาล่าง หรือ Waterline จุดนี้ หากใช้อายไลน์เนอร์สีเข้ม ก็จะเป็นแนว smokey แต่ถ้าเลือกใช้สีอ่อน หรือนู๊ดอายไลน์เนอร์ ก็จะทำให้ดวงตาดูโตขึ้น ดูตื่นตัวมากขึ้น
บริเวณใต้ขอบตาล่าง หรือ Lower Lashline จุดนิ้ใช้อาย์แชโดว์ เน้นเพื่อให้ดวงตาเด่นขึ้น

บริเวณหัวตา หรือ Tear duct ในมุมเล็กๆ นี้ ให้ใช้อายแชโดว์ สีอ่อน หรือสีที่มีประกาย จะทำให้ดวงตาเด่นขึ้น







การดูแลผิวกายให้ขาว กับ 7 เคล็ดลับแสนง่ายช่วยให้ผิวสวยสุขภาพดี



การดูแลผิวกายให้ขาว สามารถสร้างเองได้ง่าย ๆ ด้วย 7 วิธีที่เรานำมาฝาก



          การดูแลผิวกายให้ขาวใส เคล็ดลับดี ๆ ที่หลายคนอยากรู้ วันนี้มีทริคดี ๆ มาบอกต่อ สาว ๆ ทั้งหลาย ห้ามพลาดเด็ดขาดเลยจ้า

          ใคร ๆ ก็อยากมีผิวกายขาวใสสุขภาพดีกันทั้งนั้น เพราะผิวขาวเปรียบเสมือนใบเบิกทางที่จะทำให้สาว ๆ มีความกล้าและมั่นใจเวลาเข้าสังคมมากยิ่งขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ทำให้เป็นที่น่าจับตามองและเป็นจุดสนใจให้ใครหลายคนอิจฉา ทั้งนี้จึงทำให้สาว ๆ หลายคนที่มีผิวพรรณหม่นหมองทั้งหลายต้องหันไปเพิ่งยาและอาหารเสริมอย่างเช่น กลูต้าไธโอน หรือคอลลาเจน และสารพัดวิธีอีกมากมาย เพื่อต้องการสวยทางลัดและเพื่อให้ผิวขาวขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งบางครั้งอาจเป็นอันตรายต่อผิว หรือบางกรณีอาจไม่ขาวยั่งยืนจนต้องกินยาและอาหารเสริมอยู่บ่อย ๆ ทำให้สิ้นเปลืองเงินทอง และอาจมีผลเสียตามมาได้ในระยะยาว

          สำหรับกรณีแบบนี้สาว ๆ ควรแก้ไขด้วยการหันมาใส่ใจตนเองด้วยการให้ความสำคัญกับการบำรุงผิวกายให้ขาวใสแบบตรงจุดน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ที่สำคัญยังไม่ต้องกลัวอีกด้วยว่าในระยะยาวจะมีผลเสียตามมา เพราะการดูแลและบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอมีแต่จะให้ประโยชน์ดี ๆ กับตัวคุณเองทั้งนั้น สำหรับสาว ๆ คนไหนที่อยากรู้วิธีที่จะทำให้ผิวขาวใสเนียนนุ่มน่าสมผัสด้วยเคล็ดลับง่าย ๆ ตามมาดูกันเลยจ้า
 บำรุงผิวขาวด้วยการขัดผิว

          การขัดผิว ถือเป็นการผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดลอกออกไป ซึ่งจะช่วยเผยผิวกายให้กระจ่างใสมากขึ้น สำหรับการขัดผิวนั้นสามารถทำได้หลายวิธี เช่น ขัดผิวด้วยฟองน้ำ แปลง ใยบวบ หินสำหรับขัดผิว หรือแม้แต่การใช้ครีมอาบน้ำที่มีเม็ดสครับผิว เป็นต้น โดยส่วนใหญ่แล้วจะนิยมขัดผิวขณะอาบน้ำ แต่ทั้งนี้การขัดผิวควรขัดอย่างเบามือและไม่ควรขัดบ่อยจนเกินไป ประมาณสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งก็ถือว่าเพียงพอแล้ว เพราะถ้าหากขัดผิวบ่อยจนเกินไปจะทำให้ผิวเสียความชุ่มชื้น และอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและผื่นคันบริเวณผิวหนังได้ง่าย

 บำรุงผิวขาวด้วยด้วยสมุนไพรไทย
          สำหรับตัวช่วยอย่างสมุนไพรไทยที่จะช่วยให้ผิวกายของสาว ๆ ขาวใสขึ้นได้และเป็นที่นิยมอย่างมากคือ มะขามเปียก และขมิ้น โดยมะขามเปียกจะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกทำให้ผิวกระจ่างใส ส่วนขมิ้นจะช่วยทำให้ขาวผ่องมากขึ้น เพียงแค่นำมะขามเปียกไปแช่ในน้ำต้มสุกและนำขมิ้นมาปอกเปลือกตำให้ละเอียด จากนั้นให้เอาสมุนไพรทั้งสองตัวมาผสมเข้าด้วยกันกับน้ำผึ้ง ซึ่งน้ำผึ้งจะมีคุณสมบัติช่วยให้ผิวเนียนนุ่มมากยิ่งขึ้น เมื่อผสมเข้ากันดีแล้วให้นำมาขัดให้ทั่วตัวแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด เพียงเท่านี้ผิวของคุณก็จะขาวสว่างใสขึ้นได้ทันตาเลยล่ะคะ

 บำรุงผิวขาวด้วยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

          สำหรับอาหารที่รับประทานแล้วจะช่วยบำรุงผิวกายให้ขาวใสขึ้นได้ สาว ๆ ควรเน้นทานผักและผลไม้ให้ได้ทุกมื้อ เพราะประโยชน์ของผักและผลไม้จะช่วยในเรื่องของการขับถ่าย ซึ่งหากระบบการขับถ่ายดีก็จะทำให้ผิวพรรณดูขาวใสและเปล่งปลั่งขึ้นได้ทันตาเห็น นอกจากนี้ผักและผลไม้ยังมีสารแอนตี้อ็อกซิแดนซ์ที่จะช่วยกระชับให้ผิวสวยมากขึ้นอีกด้วย เรียกได้ว่ามีประโยชน์มากมายเลยทีเดียว

 บำรุงผิวขาวด้วยการออกกำลังกาย

          สาว ๆ ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างต่ำวันละ 30 นาที ประมาณ 4-5 วันต่อสัปดาห์ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยขับเหงื่อไคลและสิ่งสกปรกใต้ผิว รวมถึงสารพิษต่าง ๆ ภายในร่างกายออกมา ซึ่งจะทำให้ผิวกายของคุณดูสว่างสดใสขึ้นได้ นอกจากนี้การออกกำลังกายยังช่วยลดการอุดตันของสิ่งสกปรกใต้ผิวหนัง ซึ่งสามารถจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องสิวบริเวณผิวหนังได้อีกด้วย

 บำรุงผิวขาวด้วยครีมทาผิว

          สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่สาว ๆ ควรทำเป็นประจำทุกวันคือต้องทาครีมบำรุงผิวหลังอาบน้ำ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและขาวขึ้น แต่ทั้งนี้ครีมบำรุงผิวที่เลือกใช้ควรจะมีส่วนประกอบของไวท์เทนนิ่ง มอยส์เจอร์ไรเซอร์ และมีวิตามินที่สำคัญสำหรับผิวอย่างเช่น วิตามินซี วิตามินเอ และวิตามินอี เป็นต้น นอกจากนี้ก่อนออกจากบ้านสาว ๆ ควรทาครีมกันแดดก่อนประมาณ 20 นาที เพื่อปกป้องผิวจากรังสียูวี ทั้งนี้ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มี SPF ระหว่าง 15 - 29 ซึ่งถือว่ากำลังพอเหมาะกับการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไปค่ะ

 บำรุงผิวขาวด้วยน้ำนม

          หลาย ๆ คนคงจะเคยได้ยินคำว่าอาบน้ำแร่แช่น้ำนมกันอยู่บ่อย ๆ ซึ่งสาว ๆ เชื่อไหมคะว่าน้ำนมนั้นเหมาะสำหรับที่จะใช้บำรุงผิวกายอย่างมาก เพราะนมอุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารที่ดีต่อผิว อีกทั้งยังช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไปได้ด้วย เพียงแค่นำน้ำนมมาทาบริเวณผิวกายให้ทั่ว รอสักพักพอเริ่มแห้งแล้วให้ขัดอย่างเบามือ จากนั้นก็ล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำอย่างนี้แค่สัปดาห์ละครั้ง รับรองว่าผิวของสาว ๆ จะค่อย ๆ แลดูขาวขึ้นได้แน่นอนจ้า

 บำรุงผิวขาวด้วยการดื่มน้ำมาก ๆ

          การดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยคืนความชุ่มชื้นให้กับผิวได้เป็นอย่างดี ซึ่งสาว ๆ ทุกคนควรดื่มน้ำให้ได้อย่างต่ำวันละประมาณ 8-10 แก้ว เพียงเท่านี้ผิวกายของสาว ๆ ก็จะสวยใสสุขภาพดีได้แล้วค่ะ

          เห็นไหมคะว่า ผิวกายขาวใส คุณสามารถสร้างเองได้ง่าย ๆ ด้วยวิธีการบำรุงผิวให้ถูกวิธี หากสาว ๆ ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอเป้าหมายผิวขาวใสก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอนค่ะ เมื่อรู้เคล็ดลับดี ๆ แบบนี้แล้วอย่ามัวแต่เก็บไว้คนเดียวนะคะสาว ๆ บอกต่อไปเลยจ้า




20 วิธีรักษารอยกระ ฝ้า จุดด่างดำบนใบหน้า ชอบสูตรไหนก็เลือกเอาไปใช้ได้เลย


20 วิธีรักษารอยกระ ฝ้า จุดด่างดำบนใบหน้า ชอบสูตรไหนก็เลือกเอาไปใช้ได้เลย 

กระ (Freckle) มีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาล และมีขนาดเล็ก ส่วนมากมักจะขึ้นบริเวณใบหน้า ลำคอ และแขน ส่วน ฝ้า (Melasma) เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีของผิวหนังที่ถูกกระตุ้นด้วยปัจจัยต่างๆ วันนี้เราขอแนะนำวิธีรักษารอยกระ ฝ้า จุดด่างดำ ให้หายขาด จะต้องทำอย่างไร...

1. สูตรกระเทียม นำกระเทียมมาฝานให้มีขนาดเท่ากับเม็ดถั่วเขียว จากนั้นนำไปวางไว้บนบริเวณที่เป็นจุดกระ ทิ้งเอาไว้ประมาณ 6 ชั่วโมง แล้วล้างออก และควรทำซ้ำทุกๆ 3 วัน

2. สูตรว่านหางจระเข้ นำเอาวุ้นข้างในของว่านหางจระเข้ มาปั่นให้ละเอียดแล้วทาบริเวณที่เกิดกระขึ้น หรืออาจใช้เจลว่านหางจระเข้แทนก็จะได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน ทิ้งเอาไว้ประมาณ 5-10 นาที ทำวันละสองครั้งในตอนเช้า และก่อนนอน 

3. สูตรใบกระเพราะแห้ง นำใบกระเพราแห้งมาปั่น จนกระทั่งได้ปริมาณประมาณ 3-4 ช้อนโต๊ะ จากนั้นเติมน้ำที่ผ่านการต้มลงไปประมาณ 100 มิลลิลิตร คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำไปแช่เย็น จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้มาทาในบริเวณที่เป็นกระวันละ 2 ครั้ง 

4. สูตรน้ำมะนาว นำน้ำมะนาวแต้มบริเวณที่เป็นกระทิ้งเอาไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก จากนั้นทำการซับใบหน้าให้แห้ง 

5. สูตรนมเปรี้ยว แนะนำให้เลือกใช้นมเปรี้ยวรสธรรมชาติ เนื่องจากมีปริมาณของกรดแลคติกที่สูงมากกว่านมเปรี้ยวรสอื่นๆ จากนั้นนำนมเปรี้ยวแต้มลงไปในบริเวณที่เกิดกระเล็กน้อย ทิ้งเอาไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก 

6. สูตรหัวไชเท้า นำหัวไชเท้ามาล้างน้ำให้สะอาดแล้วฝานเป็นแผ่นบางๆ จากนั้นนำไปถูบริเวณที่เป็นกระ วันละ 5-10 นาที แล้วล้างออก 

7. สูตรนำมันมะพร้าว+น้ำมะนาว นำน้ำมันมะพร้าวมาผสมรวมกับน้ำมะนาวในปริมาณที่เท่าๆกัน ทำการคนผสมให้กลายเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำไปแต้มในบริเวณที่เป็นกระเป็นประจำทุกวัน จะสามารถช่วยลบเลือนริ้วรอยจากกระให้ลดน้อยลง 

8. สูตรน้ำมะขามเปียก+น้ำผึ้ง ทำการคั้นเอาน้ำมะขามเปียก แล้วนำไปตั้งไฟอ่อนจนสุก แล้วผสมเข้ากับน้ำผึ้งคนให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำมาทาในบริเวณที่เป็นกระ ทิ้งเอาไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วล้างออก 

9. สูตรข้าวโอ๊ต+มะม่วงหิมพานต์ นำข้าวโอ๊ตและมะม่วงหิมพานต์มาบดผสมให้เข้ากัน ผสมน้ำเปล่าลงไปเล็กน้อยแล้วคนให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้มาทำการพอกหน้าทิ้งเอาไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออก 

10. สูตรหัวผักกาด นำหัวผักกาดมาหั่นให้เป็นแว่นบางๆ แล้วนำไปทาในบริเวณที่เป็นกระให้ทั่ว ทิ้งเอาไว้ประมาณ 5-10 นาที แล้วล้างออก ทำเป็นประจำวันละ 2 ครั้ง ในตอนเช้าและตอนเย็น กระจะค่อยๆจางลงไปภายใน 10-15 วัน 

11. สูตรไข่ขาวดิบ นำไข่ขาวดิบ โดยเฉพาะไข่ขาวที่อยู่รอบๆบริเวณไข่แดงซึ่งจะมีประสิทธิภาพในการช่วยลดรอยจากกระได้มากที่สุด ทาลงบนใบหน้าบริเวณที่เป็นกระวันละ 1 ครั้ง ครั้งละประมาณ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด 

12. สูตรแตงกวา นำแตงกวามาฝานให้เป็นแว่น ให้บางมากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ จากนั้นให้นำมาวางบนใบหน้าในบริเวณที่เป็นกระ 

13. สูตรมะเขือเทศ+น้ำมะนาว นำมะเขือเทศมาคั้นน้ำให้ได้ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ แล้วนำไปผสมกับน้ำมะนาวในปริมาณที่เท่ากันให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นล้างหน้าให้สะอาดพร้อมกับซับหน้าให้แห้ง แล้วนำส่วนผสมที่ได้ทาลงไปในบริเวณที่เป็นกระ ทิ้งเอาไว้ประมาณ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด 

14. เบบี้ออย+น้ำมะนาว นำเบบี้ออยผสมเข้ากับน้ำมะนาวในปริมาณที่เท่ากัน แล้วนำส่วนผสมที่ได้ทาในบริเวณที่เป็นกระ ทิ้งเอาไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด 

15. สูตรน้ำผึ้งอุ่นๆ นำน้ำผึ้งไปทำการอุ่น และควรระวังอย่าให้อุณภูมิของน้ำผึ้งสูงจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้หน้าไหม้เมื่อทำการทาได้ จากนั้นนำวีทเจิร์มมาผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกหน้าพร้อมกับนวดด้วยนิ้วเบาๆ หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่น และตามด้วยน้ำเย็น 

16. สูตรหอมแดง นำหอมแดงมาหั่นครึ่ง แล้วนำไปถูบนบริเวณที่เป็นกระ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง หอมแดงจะช่วยทำการขจัดจุดกระและรอยด่างดำให้จางลงอย่างเป็นธรรมชาติ 

17. สูตรขมิ้น+งา ผสมขมิ้นและงาในสัดส่วนที่เท่ากัน แล้วนำไปบดผสมกับน้ำเปล่าจำนวนเล็กน้อยให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ไปใช้ในการพอกหน้า ทิ้งเอาไว้ให้แห้งประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด 

18. สูตรแครอทต้ม+น้ำมะนาว นำหัวแครอทไปทำการต้มในน้ำเดือดประมาณ 15 นาที แล้วนำมาผสมกับน้ำมะนาวให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาพอกหน้าทิ้งเอาไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น 

19. สูตรน้ำส้มสายชู นำน้ำส้มสายชู ผสมเข้ากับน้ำเปล่าในปริมาณที่เท่ากัน แล้วนำส่วนผสมที่ได้ไปทำการทำความสะอาดใบหน้าในบริเวณที่เป็นกระ ซึ่งควรเลือกใช้น้ำส้มสายชูที่ผลิตจากแอปเปิ้ลหรือน้ำส้มสายชูที่ผลิตจากธรรมชาติ 

20. สูตรมะละกอ นำเนื้อมะละกอสุกมาปันให้ละเอียด จากนั้นนำมาพอกหน้า โดยเว้นบริเวณรอบดวงตา ทิ้งเอาไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด 

ข้อควรระวัง : เนื่องจากในส่วนผสมในสูตรต่างๆที่ใช้ในการรักษากระมักมีส่วนผสมของน้ำมะนาว ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด การใช้น้ำมะนาวกับบริเวณใบหน้าจึงควรที่ทดลองใช้กับจุดเล็กๆก่อน เพื่อเป็นการทดสอบว่าผิวของคุณสาวๆ มีอาการแพ้น้ำมะนาวหรือไม่ 

ถ้าหากไม่เกิดอาการแพ้ หรือปวดแสบ ปวดร้อน มากจนผิดปกติ จึงค่อยๆ เพิ่มการใช้ในจุดอื่นๆ ต่อไป เพื่อความปลอดภัยและสุขภาพผิวที่ดีของตัวคุณสาวๆ เอง 




แก้ข้อศอกด้าน เข่าด้าน ตาตุ่มด้าน ด้วยมะกรูด


แก้ข้อศอกด้าน เข่าด้าน ตาตุ่มด้าน ด้วยมะกรูด Photo By onlyfoods.net

มะกรูด เป็นอาหารสมุนไพรที่ใช้ภายนอกตั้งแต่หัวจรดเท้า เป็นอันดับ 1 ครับ ไม่ว่าจะสระผม ไล่ยุง ทาแก้ปวดเมื่อย ดับกลิ่นเท้า ใช้มะกรูดทั้งนั้นครับ โดยเฉพาะดับกลิ่นเท้านี่ดีมากๆ ใช้กับตัวตลอดครับ 

วันนี้เอาสูตรแก้ศอกด้านไปก่อน ง่ายๆครับ แค่ผ่าครึ่งมะกรูดออกจากกัน แล้วโรยเกลือลงบนเนื้อมะกรูดสัก 1/2 ช้อนชา แล้วนำมาขัดบริเวณข้อศอกที่ด้าน 

ย้ำว่า..ขัดบ่อยๆนะครับ ไม่ใช่ว่าครั้งเดียวจะหายด้าน เพราะที่มันด้านเพราะส่วนนั้นถูกเสียดสีกับพื้น ร่างกายจึงต้องสร้างหนังแข็งๆมาห่อหุ้ม ขัดบ่อยๆ ก็หายด้านเองครับ


มะกรูดถูกใช้เป็นยาสมุนไพรหลายตัวครับ ยาพอกเข่า ที่คลินิกเพื่อรักษาเข่าอักเสบก็มีส่วนผสมของผิวมะกรูดอยู่ ช่วยขับลมในข้อได้ดี หรือรากมะกรูดก็ใช้ต้มดื่มแก้ไข้หวัด กระตุ้นภูมิคุ้มกัน แก้ร้อนใน แก้เลือดกำเดาไหลได้ดีมากๆ

แนะนำให้ 1 บ้านควรมีต้นมะกรูดปลูกไว้อย่างน้อย 1 ต้นครับ






อยากหุ่นดีลองอาหารสูตรนี้ จันทร์-อาทิตย์ บอกครบทุกมื้อ!!



อยากหุ่นดีลองอาหารสูตรนี้ จันทร์-อาทิตย์ บอกครบทุกมื้อ!!

อยากหุ่นดีลองอาหารสูตรนี้ดูไหมล่ะ!!?

บทความนี้เหมาะสำหรับหนุ่มๆสาวๆที่กำลังจะลดน้ำหนักเลยค่ะ หลายๆคนคงมีวิธีการลดน้ำหนักของตัวเองที่แตกต่างกันไป บางคนอาจลดน้ำหนักด้วยการไปออกกำลังกาย หรือบางคนใช้การควบคุมด้วยอาหาร หรือบางคนทำทั้ง 2 อย่างเลยคือทั้งออกกำลังกายและควบคุมอาหาร

จะบอกว่าวันนี้เรามีสูตรอาหารในแต่ละวันที่เหมาะสำหรับคนที่อยากลดน้ำหนักมาฝากกันด้วยล่ะค่ะ อยากรู้กันแล้วใช่ไหมล่ะคะ ถ้าอย่างนั้นไปอ่านกันเลย


สูตรอาหารวันจันทร์
เช้า
ข้างกล้องต้มปลา
กล้วย 1 ลูก
กลางวัน
ข้าวกล้อง + เกาเหลาปลากะพง
ส้ม 2 ผลเล็ก
เย็น
ยำวุ้นเส้น (เน้นผักสด)
องุ่นเขียว 15 ผล

สูตรอาหารวันอังคาร
เช้า
ข้าวกล้อง + ปลานึ่งมะนาว + ต้มจืดมะระ
ฝรั่ง ½ ลูก
กลางวัน
ขนมจีนข้าวกล้อง + น้ำยาแกงป่า + เคียงผัก
เย็น
ข้าวกล้อง + แกงส้มผักรวม + ผัดมะเขือยาว
มะเฟือง 5 ชิ้น

สูตรอาหารวันพุธ
เช้า
ข้าวต้มเห็ด
ชมพู่ 2 ผล
กลางวัน
น้ำพริกปลาทู + ผักลวก
แตงโม 1/8 ผลกลาง
เย็น
ข้าวกล้อง + แกงเลียง
แก้วมังกร
ส้มเช้ง 1 ผล

สูตรอาหารวันพฤหัสบดี
เช้า
ข้าวกล้อง + ผัดกะเพรา + เห็ดฟาง + ซุปสาหร่าย
ส้มโอ 2 กลีบ
กลางวัน
ก๋วยเตี๋ยวเส้น + โฮลวีต + ราดหน้าผักรวม
สับปะรด 8-10 ชิ้น
เย็น
ข้าวยำ + ปลาทูย่าง
องุ่นม่วง 15 ผล

สูตรอาหารวันศุกร์
เช้า
แซนด์วิชปลาทูน่า
มะละกอ 8-10 ชิ้น
กลางวัน
ส้มตำไทย + ผักสด
มะม่วงดิบ ½ ผลกลาง
เย็น
ข้าวกล้อง + ต้มยำเห็ด
แอปเปิ้ลเขียว 1 ผลเล็ก

สูตรอาหารวันเสาร์
เช้า
ข้าวต้มกล้อง + ยำเห็ดฟาง + เต้าหู้ผัดถั่วงอก
แอปเปิ้ลผลแดง
กลางวัน
ข้าวยำปักษ์ใต้
ละมุด 1 ผลกลาง
เย็น
ซีซาร์สลัด + สเต็กปลาย่าง
สาลี่น้ำผึ้ง ½ ผล

สูตรอาหารวันอาทิตย์
เช้า
โจ๊กเห็ด
สตอเบอรี่ 12 ผลใหญ่
กลางวัน
ยำก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้
แก้วมังกรเนื้อแดง ½ ผล
เย็น
ข้าวกล้อง + ต้มจับฉ่าย + ยำรวมมิตร
สาลี่หอม ½ ผล

เป็นยังไงกันบ้างคะสูตรอาหารทั้ง 7 วัน แค่เห็นก็อร่อยแล้วใช่ไหมล่ะคะ ไม่เพียงแต่อร่อยแต่ยังมีหุ่นที่ดีอีกด้วย ยังไม่หมดนะคะ เพราะวันนี้เราก็ยังมีอาหารตอนที่ท้องเรายังว่างๆมาฝากอีกด้วย ไปอ่านกันเลย

อาหารยามท้องว่าง
น้ำเปล่า หรือ น้ำสมุนไพร จะมี 0 kcal
กล้วยน้ำว้า แอปเปิ้ล หรือ ฝรั่งครึ่งลูก จะมี 60 kcal
ข้าวโพดต้มครึ่งฝัก จะมี 80 kcal
โยเกิร์ตไขมันต่ำรสธรรมชาติ

อาหารยามว่างก็สำคัญนะคะเพราะถ้าเราเผลอรับประทานอาหรที่มีไขมัน หรือ แคลอรี่สูงเข้าไปอาจจะทำให้หุ่นของเรานั้นไม่เฟิร์มได้เลยนะคะ การเลือกรับประทานอาหารนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของของลดน้ำหนักค่ะ แต่ต้องกินได้ครบ 5 หมู่และอย่าลืมที่จะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณนั่นเองค่ะ






สูตรบำรุงผิวด้วยมะขามป้อม สวย ใส ไร้สิว [ลองแล้วดีจึงบอกต่อ]


สูตรบำรุงผิวด้วยมะขามป้อม สวย ใส ไร้สิว
 [ลองแล้วดีจึงบอกต่อ]

มะขามป้อม เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก จะเอามารับประทานเล่นหรือนำมาเสริมสวยก็ได้ประโยชน์ไม่กัน วันนี้เราจะมาแนะนำวิธีการในการเสริมความงามด้วยมะขามป้อมกัน ว่าต้องทำอย่างไรบ้างจึงจะมีหน้าตาและผิวพรรณที่สวยสดใส ตามมาดูกันเลยค่ะ 

มะขามป้อมช่วยบำรุงผิวได้อย่างไร

‘มะขามป้อม’ ผลไม้ลูกกลมๆสีเขียวอมเหลือง รสฝาดเปรี้ยวและอมหวานเล็กน้อย น่าจะเป็นที่รู้จักของคนไทยเป็นอย่างดี ผลไม้ชนิดนี้มีดีที่วิตามินซี ซึ่งมีปริมาณสูงมากกว่าวิตามินซีในผลส้มถึง 20 เท่า ซึ่งมีส่วนช่วยให้ผิวหน้าแลดูขาวใส ไร้รอยด่างดำได้ดี แถมปริมาณวิตามินซีที่มีอยู่ยังสามารถทนความร้อนและความเย็นได้สูง เพราะมีสารจำพวกแทนนินและสารโพลี่ฟีนอลที่ช่วยป้องกันการเกิดการออกซิไดซ์ของวิตามินซี 

ไม่เพียงแต่วิตามินซีเท่านั้นที่เป็นจุดเด่นของมะขามป้อม แต่ในผลไม้ชนิดนี้ยังมีสารที่มีชื่อเรียกว่า ‘เอมบลิคานิน (Emblicanin)’ สารต้านอนุมูลอิสระที่มีส่วนช่วยในการลดความหมองคล้ำของผิว ลดการถูกทำลายจากแสงแดดและอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ และช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้เป็นอย่างดี 

ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านั้น เพราะเมื่อนำเอามะขามป้อมไปสกัดจนเข้มข้น จะได้สารสกัดที่มีฤทธิ์ต้านการเกิดออกซิเดชัน ต้านเอนไซม์คอลลาจีเนส (collagenase) และฤทธิ์ต้านเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ซึ่งมีผลให้ใบหน้าแลดูอ่อนวัย สวยใส และเนียนนุ่มได้ตลอดเวลา และด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ จึงทำให้มะขามป้อมถูกนำมาสกัดเอาสารสำคัญๆออกไปใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง สบู่ หรือครีมทาผิวต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความงามให้แก่สาวๆที่รักสวยรักงามทุกคน 

สูตรบำรุงผิวหน้าด้วยมะขามป้อม 

แต่สำหรับใครที่อยากบำรุงผิวด้วยมะขามป้อมสดๆที่เก็บมาจากต้น เราก็มีวิธีมาแนะนำเช่นกันค่ะ ตามมาดูสูตรบำรุงผิวหน้ากันได้เลย 

วัตถุดิบ
1. ผลมะขามป้อมที่แก่จัด
2. ผงขมิ้น
3. ไข่ขาวดิบ
4. ดินสอพอง
5. น้ำผึ้ง
6. น้ำสะอาด

วิธีทำครีมมะขามป้อมใช้เอง (สูตรผิวปกติ)
1. ล้างผลมะขามป้อมให้สะอาด
2. เอาแต่เนื้อมาบดให้ละเอียดให้ได้ประมาณ 1 ช้อนชา
3. ผสมกับผงขมิ้น 1/2 ช้อนชา ไข่ขาว 1 ฟอง ดินสอพองบด 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
4. ปั่นส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน
5. เติมน้ำสะอาดต้มสุกลงไปประมาณ 1/2 ถ้วย ผสมให้เข้ากัน

หลังจากได้ครีมมะขามป้อมที่มีเนื้อข้นแล้ว ให้นำครีมตัวนี้ไปพอกหน้าให้ทั่ว ยกเว้นบริเวณรอบดวงตาและริมฝีปากทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที เมื่อครบเวลาจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำเช่นนี้ติดต่อกันเพียง 1-2 ครั้ง คุณก็จะเห็นผลได้อย่างชัดเจนแล้วว่าผิวหน้าของคุณจะดูกระจ่างใสขึ้น เรียกได้ว่าเห็นผลเร็วทันตาจริงๆค่ะ 

แนะนำเพิ่มเติมอีกนิดค่ะ สูตรที่กล่าวมานี้เหมาะสำหรับคนที่มีผิวหน้าปกติ แต่สำหรับคุณผู้หญิงท่านไหนที่มีปัญหาเรื่อง “ผิวมัน” ให้เปลี่ยนการใช้ไข่ขาวไปเป็นการใช้น้ำแครอทปั่นสด 1/4 ถ้วยแทน เพราะน้ำแครอทจะช่วยลดความมันบนใบหน้าของคุณลงไปได้ 

ส่วนคนที่มีปัญหาผิวแห้งมากๆ ให้เปลี่ยนส่วนผสมที่เป็นไข่ขาวเป็น ‘น้ำมันงา’ ในปริมาณ 1/4 ถ้วยแทน เพราะน้ำมันงาจะช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า และไม่ทำให้ผิวหน้าแห้งจนเกินไปได้ 

ส่วนผสมทั้งหมดถ้าใช้ครั้งเดียวไม่หมด ควรนำใส่ภาชนะและปิดฝาให้สนิทแล้วนำไปเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อนำมาใช้ในครั้งต่อไปได้ แต่ถ้าจะให้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพในการทำให้ผิวหน้าขาวใสไม่ควรใช้ครีมนี้นานเกิน 2 ครั้ง ดังนั้น เมื่อใช้ครบ 2 ครั้งแล้วควรตัดใจทิ้งไป แล้วผสมครีมขึ้นมาใหม่เพื่อใช้ในครั้งหน้าแทน 

จะเห็นได้ว่า ไม่ยากเลยกับการนำเอามะขามป้อมผลไม้วิตามินสูงมาใช้ประโยชน์ในการบำรุงผิว บ้านใครที่ปลูกผลไม้ชนิดนี้เอาไว้ อย่าลืมไปเด็ดผลแก่ๆมาทำตามวิธีที่เราบอกคุณดูนะคะ ทั้งง่าย ประหยัด และได้ผลดีจริงๆ ค่ะ….คอนเฟิร์ม 



www.konphenfai.com
www.facebook.com/jeawshop